🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

คู่มือฉบับสมบูรณ์: การทำ Website Due Diligence ก่อนการควบรวมกิจการ (M&A)

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต

ลองนึกภาพตามนะครับ: คุณเป็นผู้บริหารที่เพิ่งปิดดีลควบรวมกิจการ (M&A) มูลค่าหลายร้อยล้านบาท บริษัทที่คุณซื้อมานั้นมีหน้าตาการเงินที่สวยหรู และที่สำคัญคือมี "เว็บไซต์" ที่สร้าง Traffic มหาศาล เป็นเหมือนเครื่องจักรผลิตลูกค้าชั้นดี สามเดือนผ่านไป... หายนะก็มาเยือน ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ดิ่งลงเหวแบบไม่ทราบสาเหตุ อันดับบน Google หายไปเกือบทั้งหมด เมื่อขุดลึกลงไปก็พบว่าเว็บไซต์นั้นเต็มไปด้วย "หนี้ทางเทคนิค" (Technical Debt) และ Backlink คุณภาพต่ำที่รอวันถูก Google ลงโทษ คุณไม่ได้ซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล... แต่คุณกำลังซื้อระเบิดเวลาดิจิทัลที่ไม่เคยมีใครบอกคุณมาก่อน

นี่ไม่ใช่เรื่องแต่งครับ แต่มันคือฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริงกับหลายบริษัทที่มองข้ามขั้นตอนสำคัญที่เรียกว่า "Website Due Diligence" ในกระบวนการ M&A พวกเขาทุ่มเทตรวจสอบบัญชี สัญญา และทรัพย์สินที่จับต้องได้ แต่กลับประเมิน "สินทรัพย์ดิจิทัล" ที่สำคัญที่สุดอย่างเว็บไซต์แบบผิวเผิน ทำให้ต้องมารับมือกับปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใต้พรมหลังจากจ่ายเงินไปแล้ว

Prompt: ภาพที่แสดงสีหน้าเคร่งเครียดของผู้บริหารกลุ่มหนึ่งกำลังประชุมกันหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงกราฟ Traffic ดิ่งลงเหว พร้อมมีสัญลักษณ์เตือนสีแดงปรากฏบนหน้าจอ สื่อถึงวิกฤตที่เพิ่งค้นพบหลังการควบรวมกิจการ

ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น

ปัญหานี้เกิดขึ้นจาก "ช่องว่าง" ในกระบวนการ Due Diligence แบบดั้งเดิมครับ โดยธรรมชาติแล้ว ทีม M&A จะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและกฎหมาย ซึ่งพวกเขาสามารถตรวจสอบงบดุล สัญญผูกมัด หรือข้อพิพาททางกฎหมายได้อย่างเฉียบคม แต่เมื่อมาถึงการประเมินสินทรัพย์ที่ซับซ้อนอย่าง "เว็บไซต์" พวกเขามักขาดความเชี่ยวชาญเชิงลึกในการตรวจสอบสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า การตรวจสอบสถานะแบบดั้งเดิม (Due diligence) อาจจะดูแค่ยอด Traffic คร่าวๆ หรือดูหน้าตาดีไซน์ภายนอก แต่ไม่ได้เจาะลึกลงไปถึง:

  • สุขภาพ SEO เชิงเทคนิค: โครงสร้างเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Google แค่ไหน? มีปัญหา Crawlability หรือ Indexability หรือไม่? ความเร็วเว็บไซต์เป็นอย่างไร?
  • คุณภาพของ Backlink Profile: Traffic ที่ได้มา มาจากแหล่งอ้างอิงที่มีคุณภาพ หรือมาจากสแปมที่รอวันถูกลงโทษ?
  • หนี้ทางเทคนิค (Technical Debt): เทคโนโลยีที่ใช้สร้างเว็บไซต์นั้นเก่าไปหรือไม่? สามารถขยายหรือต่อยอดในอนาคตได้หรือเปล่า? หรือต้องทุบสร้างใหม่อย่างเดียว?
  • ความเป็นเจ้าของและภาระผูกพัน: ใครคือเจ้าของโดเมนที่แท้จริง? ปลั๊กอินหรือโค้ดที่ใช้มีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่?

การมองข้ามมิติเหล่านี้ก็เหมือนกับการซื้อรถมือสองโดยดูแค่สีที่สวยงามภายนอก แต่ไม่ได้เปิดฝากระโปรงดูเครื่องยนต์เลย ทำให้ไม่รู้เลยว่าความเสี่ยงและต้นทุนที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่นั้นมหาศาลเพียงใด อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพรวมได้ที่บทความ การตรวจสอบสถานะเว็บไซต์ในดีล M&A ของเรา

Prompt: ภาพอินโฟกราฟิกเปรียบเทียบภูเขาน้ำแข็ง โดยส่วนที่เหนือน้ำเขียนว่า "Traditional Due Diligence (ยอด Traffic, ดีไซน์)" และส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำซึ่งใหญ่กว่ามาก เขียนว่า "Website Due Diligence (Technical SEO, Backlinks, Code Quality, Security)"

ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง

การละเลย Website Due Diligence ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่มันคือการเปิดประตูสู่ความเสี่ยงทางการเงินและกลยุทธ์ที่รุนแรง ผลกระทบที่ตามมาอาจเลวร้ายกว่าที่คิดมากครับ:

  • การประเมินมูลค่ากิจการที่ผิดพลาด (Valuation Error): คุณอาจจ่ายเงินซื้อกิจการในราคาที่ "สูงเกินจริง" เพราะมูลค่าที่ประเมินนั้นอิงจากยอด Traffic และรายได้ที่กำลังจะหายไปในไม่ช้า
  • ต้นทุนแฝงที่บานปลาย (Hidden Costs): คุณอาจต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลอย่างไม่คาดคิดเพื่อ "ซ่อม" หรือ "สร้างใหม่" ทั้งเว็บไซต์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เคยอยู่ในแผน การทำความเข้าใจเรื่อง การบันทึกบัญชีต้นทุนการพัฒนาเว็บไซต์ จะช่วยให้เห็นภาพค่าใช้จ่ายส่วนนี้ชัดขึ้น
  • สูญเสียอันดับและ Traffic อย่างถาวร (Loss of Rankings & Traffic): หากเว็บไซต์ถูก Google Penalty การกู้คืนอันดับและ Traffic นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากและใช้เวลานาน บางครั้งอาจไม่สามารถกลับมาจุดเดิมได้อีกเลย
  • .
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและกฎหมาย (Security & Legal Risks): เว็บไซต์อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่นำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลลูกค้า (Data Breach) ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและอาจมีโทษปรับตามกฎหมาย PDPA/GDPR
  • อุปสรรคต่อการเติบโตในอนาคต (Future Growth Barrier): หากเว็บไซต์สร้างบนเทคโนโลยีที่ล้าสมัย มันจะกลายเป็น "คอขวด" ที่ขัดขวางการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือการขยายธุรกิจในอนาคต ทำให้แผนกลยุทธ์หลังการควบรวมต้องหยุดชะงัก

สรุปง่ายๆ คือ การมองข้ามขั้นตอนนี้อาจเปลี่ยน "สินทรัพย์" ที่คุณคาดหวังให้กลายเป็น "หนี้สิน" ก้อนโตที่บั่นทอนมูลค่าของดีล M&A ทั้งหมด

Prompt: ภาพ Domino Effect ที่ตัวแรกมีป้ายว่า "No Website Due Diligence" และตัวต่อๆ มาล้มทับกันโดยมีป้ายว่า "Overvaluation", "Traffic Crash", "Hidden Costs", "Data Breach" เพื่อแสดงถึงผลกระทบต่อเนื่อง

มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน

ทางแก้ที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพที่สุด คือการผนวก "Website Due Diligence" ให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบสถานะ M&A อย่างเป็นทางการ เหมือนกับการตรวจสอบการเงินและกฎหมาย โดยเราสามารถแบ่งการตรวจสอบออกเป็น 4 เสาหลักที่ต้องประเมินอย่างละเอียดครับ:

1. การตรวจสอบทางเทคนิค (Technical Audit):

  • ความเร็วและ Core Web Vitals: เว็บไซต์โหลดเร็วแค่ไหนในสายตาผู้ใช้และ Google?
  • ความเป็นมิตรกับมือถือ (Mobile-Friendliness): ประสบการณ์ใช้งานบนมือถือดีพอหรือไม่?
  • ความปลอดภัย (Security): มีการใช้ HTTPS หรือไม่? มีช่องโหว่ที่ชัดเจนหรือไม่?
  • สถาปัตยกรรมเว็บไซต์ (Site Architecture): โครงสร้าง URL และการเชื่อมโยงภายในสมเหตุสมผลหรือไม่?

2. การตรวจสอบ SEO (SEO Audit):

  • ประสิทธิภาพ Organic Traffic: Traffic ที่มาจาก Google มีคุณภาพและเติบโตอย่างยั่งยืนหรือไม่?
  • โปรไฟล์ Backlink: ลิงก์ที่เข้ามายังเว็บไซต์มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือหรือเป็นสแปม?
  • การจัดอันดับคีย์เวิร์ด (Keyword Rankings): เว็บไซต์ติดอันดับในคีย์เวิร์ดที่สร้างมูลค่าทางธุรกิจจริงหรือไม่?
  • ปัญหา Cannibalization และ Thin Content: มีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนหรือด้อยคุณภาพที่ฉุดรั้งเว็บไซต์อยู่หรือไม่?

3. การตรวจสอบเนื้อหาและแบรนด์ (Content & Brand Audit):

  • คุณภาพและความสอดคล้องของเนื้อหา: เนื้อหาบนเว็บสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญ (E-E-A-T) และตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่?
  • ชื่อเสียงออนไลน์ (Online Reputation): แบรนด์ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ในแง่มุมไหน? มีวิกฤตด้านชื่อเสียงซ่อนอยู่หรือไม่?

4. การตรวจสอบความเป็นเจ้าของและกฎหมาย (Ownership & Legal Audit):

  • ความเป็นเจ้าของโดเมนและสินทรัพย์ดิจิทัล: บัญชี Domain, Google Analytics, Google Search Console เป็นของบริษัทเป้าหมายจริงหรือไม่?
  • การปฏิบัติตามกฎหมาย: เว็บไซต์มี Privacy Policy, Terms of Service ที่สอดคล้องกับ PDPA/GDPR หรือไม่?
  • ใบอนุญาต (Licensing): รูปภาพ ฟอนต์ หรือปลั๊กอินที่ใช้บนเว็บมีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่?

การเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการพูดคุยกับทีม M&A เพื่อให้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญและจัดสรรทรัพยากรสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่จะเข้ามาตรวจสอบในส่วนนี้โดยเฉพาะ ดังที่ Harvard Business Review ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบสถานะอย่างรอบด้านเพื่อความสำเร็จของดีล

Prompt: ภาพอินโฟกราฟิกที่แบ่งเป็น 4 ส่วนชัดเจน แต่ละส่วนมีไอคอนและหัวข้อเป็น "Technical Audit", "SEO Audit", "Content Audit", และ "Legal Audit" เหมือนเป็น Checklist ที่ครอบคลุมทุกมิติ

ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมขอยกเคสสมมติที่เกิดขึ้นบ่อยในวงการ Tech Startup ครับ: บริษัท "Innovate Corp" กำลังจะเข้าซื้อกิจการ "DataWidget Inc." ซึ่งเป็นบริษัท SaaS ที่มีเว็บไซต์ที่สร้าง Lead ได้จำนวนมากและมี Traffic สูงลิ่ว

สถานการณ์เริ่มต้น: ในตอนแรก ทีม M&A ของ Innovate Corp ประเมินมูลค่าของ DataWidget Inc. ไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยอิงจากรายได้และตัวเลข Traffic ที่สวยงามบน Google Analytics

การตัดสินใจที่ถูกต้อง: โชคดีที่ CFO ของ Innovate Corp เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาก่อน เขาจึงตัดสินใจจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำ Website Due Diligence โดยเฉพาะ

สิ่งที่ค้นพบ:

  • ด้าน SEO: ทีมตรวจสอบพบว่า Traffic เกือบ 60% มาจากอันดับบน Google ที่เกิดจากเครือข่าย Backlink คุณภาพต่ำ (Private Blog Networks - PBNs) ซึ่งเป็นเทคนิคสายดำที่เสี่ยงต่อการถูกลงโทษจาก Google อย่างรุนแรง
  • ด้านเทคนิค: แพลตฟอร์มที่เว็บไซต์สร้างขึ้นเป็นโค้ดที่เขียนเอง (Custom Code) ซึ่งขาดเอกสารประกอบ (Documentation) และนักพัฒนาคนเก่าก็ลาออกไปแล้ว ทำให้การแก้ไขหรือต่อยอดในอนาคตแทบจะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการลงทุนสร้างใหม่ทั้งหมด

ผลลัพธ์จากการทำ Due Diligence: Innovate Corp ได้นำข้อมูลความเสี่ยงที่ชัดเจนและประเมินค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา (ทั้งการสร้างเว็บไซต์ใหม่และการฟื้นฟู SEO) กลับไปเจรจาต่อรองกับ DataWidget Inc. ใหม่ทั้งหมด

บทสรุปของดีล: สุดท้าย Innovate Corp สามารถปรับลดราคาซื้อกิจการลงมาได้เกือบ 80 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนและความเสี่ยงที่ตรวจพบ ทำให้ดีลนี้ปิดลงอย่างสมเหตุสมผลและโปร่งใส การลงทุนทำ Website Due Diligence ไม่กี่แสนบาทในวันนั้น ช่วยให้บริษัทเซฟเงินไปได้มหาศาลและหลีกเลี่ยงหายนะหลังการซื้อกิจการได้อย่างงดงาม

Prompt: ภาพเปรียบเทียบ Before-After ของเอกสารเสนอราคา M&A ภาพ Before แสดงราคา "500 ล้านบาท" ภาพ After แสดงราคา "420 ล้านบาท" พร้อมมีตราประทับสีแดงเขียนว่า "Price Adjusted After Due Diligence"

ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที)

คุณสามารถเริ่มต้นตรวจสอบเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองโดยใช้ Checklist ต่อไปนี้เป็นแนวทาง แม้ว่าการตรวจสอบเชิงลึกอาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ แต่การมีรายการเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและตั้งคำถามที่ถูกต้องกับอีกฝ่ายได้ครับ

Checklist การตรวจสอบทางเทคนิค (Technical Checklist)

  • ทดสอบความเร็ว: ใช้เครื่องมือ Google PageSpeed Insights เพื่อดูคะแนน Core Web Vitals
  • ตรวจสอบ Mobile-Friendly: ใช้ Google’s Mobile-Friendly Test
  • เช็กสถานะ SSL/HTTPS: URL ขึ้นต้นด้วย https:// และมีรูปแม่กุญแจหรือไม่?
  • ตรวจสอบไฟล์ robots.txt: ไปที่ yourdomain.com/robots.txt เพื่อดูว่ามีคำสั่งบล็อกการเข้าถึงของ Googlebot ที่ผิดพลาดหรือไม่
  • วิเคราะห์ Sitemap: ไปที่ yourdomain.com/sitemap.xml เพื่อดูว่าโครงสร้างการเก็บข้อมูลของเว็บเป็นอย่างไร

Checklist การตรวจสอบ SEO (SEO Checklist)

  • ขอสิทธิ์เข้าถึง Google Analytics และ Google Search Console: นี่คือสิ่งจำเป็นอันดับแรกเพื่อดูข้อมูลจริง
  • วิเคราะห์แหล่งที่มาของ Traffic: ใน Google Analytics ดูที่ Acquisition > All Traffic > Channels สัดส่วนของ Organic Search ควรจะสมเหตุสมผล
  • ตรวจสอบ Backlink Profile: ใช้เครื่องมือเช่น Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อดูคุณภาพของลิงก์ที่เข้ามา มีลิงก์จากเว็บสแปมหรือเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่?
  • ค้นหาชื่อแบรนด์บน Google: ลองค้นหา "ชื่อแบรนด์" และ "ชื่อแบรนด์ review" เพื่อดูว่าผลการค้นหาเป็นไปในทิศทางบวกหรือลบ
  • ตรวจสอบการทำ Index: เข้า Google แล้วพิมพ์ "site:yourdomain.com" เพื่อดูว่า Google เก็บหน้าเว็บไปแล้วประมาณกี่หน้า
  • ศึกษาเรื่องการจัดการ Crawl Budget: หากเป็นเว็บขนาดใหญ่ การเข้าใจเรื่อง Crawl Budget Optimization จะช่วยให้เห็นปัญหาเชิงลึกได้

Checklist การตรวจสอบความเป็นเจ้าของและกฎหมาย

  • ขอหลักฐานการเป็นเจ้าของโดเมน: ใครคือผู้จดทะเบียน (Registrant) ที่แสดงใน Whois?
  • ตรวจสอบหน้า Privacy Policy และ Terms & Conditions: มีอยู่บนเว็บไซต์หรือไม่ และเนื้อหาครอบคลุมแค่ไหน?
  • สอบถามเรื่องใบอนุญาต: รูปภาพ, วิดีโอ, ฟอนต์ หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้บนเว็บ มีเอกสารยืนยันสิทธิ์การใช้งานหรือไม่?

สำหรับโปรเจกต์ที่ซับซ้อน เช่น การย้ายแพลตฟอร์มหลัง M&A การมี คู่มือการย้ายแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือ Checklist การย้ายเว็บไซต์ เตรียมไว้แต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

Prompt: ภาพ Checklist ขนาดใหญ่ที่ผู้อ่านสามารถเห็นหัวข้อหลักๆ ได้ชัดเจน เช่น "Check Page Speed", "Analyze Backlinks", "Verify Domain Ownership" พร้อมมีเครื่องหมายถูกสีเขียวในบางช่อง

คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์

Q1: กระบวนการ Website Due Diligence ใช้เวลานานแค่ไหน?
A: ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเว็บไซต์ โดยทั่วไปสำหรับเว็บไซต์ขนาดกลางอาจใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ในการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดทำรายงานสรุป แต่สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่มหาศาล อาจใช้เวลานานกว่านั้น

Q2: เราจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกหรือไม่ หรือให้ทีม IT ภายในทำก็ได้?
A: แม้ทีม IT ภายในจะเก่งเรื่องเทคนิค แต่พวกเขาอาจไม่มีความเชี่ยวชาญด้าน SEO หรือกลยุทธ์ดิจิทัลเชิงลึก การใช้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ไม่ทีส่วนได้ส่วนเสีย (Unbiased) จะให้มุมมองที่ตรงไปตรงมาและครอบคลุมกว่า โดยเฉพาะการประเมินความเสี่ยงด้าน SEO ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะทางอย่างยิ่ง

Q3: ค่าใช้จ่ายในการทำ Website Due Diligence สูงหรือไม่?
A: เมื่อเทียบกับความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากการประเมินมูลค่าผิดพลาดหรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมเว็บในอนาคต ค่าใช้จ่ายในการทำ Due Diligence ถือว่า "น้อยมาก" มันคือการลงทุนเพื่อ "ซื้อข้อมูล" และ "ลดความเสี่ยง" ซึ่งคุ้มค่ากว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเสมอ

Q4: หากตรวจพบปัญหา ควรจะล้มเลิกดีลเลยหรือไม่?
A: ไม่จำเป็นเสมอไปครับ ข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบคือ "เครื่องมือในการเจรจาต่อรอง" คุณสามารถใช้ข้อมูลความเสี่ยงและต้นทุนที่ประเมินได้ ไปขอปรับลดราคาซื้อขาย หรือตั้งเงื่อนไขให้ผู้ขายต้องแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้เรียบร้อยก่อนการปิดดีล

Prompt: ภาพไอคอนรูปคนกำลังสนทนากันพร้อมเครื่องหมายคำถามและคำตอบ (Q&A) อยู่เหนศีรษะ สื่อถึงการไขข้อข้องใจอย่างชัดเจนและเป็นมิตร

สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ

ในยุคที่ธุรกิจขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล การควบรวมกิจการ (M&A) ไม่ได้เป็นเพียงการซื้อขายสินทรัพย์ทางกายภาพหรือตัวเลขในบัญชีอีกต่อไป แต่เป็นการซื้อ "สินทรัพย์ดิจิทัล" ที่อาจเป็นทั้งขุมทรัพย์หรือระเบิดเวลา การทำ "Website Due Diligence" จึงไม่ใช่ "ทางเลือก" แต่เป็น "ความจำเป็น" ที่จะช่วยปกป้องการลงทุนของคุณ

การเจาะลึกตรวจสอบสุขภาพทางเทคนิค, SEO, เนื้อหา, และสถานะทางกฎหมายของเว็บไซต์ คือการเปลี่ยนจาก "ความเชื่อ" มาเป็น "ความจริง" มันช่วยให้คุณเห็นภาพที่แท้จริงของสิ่งที่กำลังจะซื้อ ประเมินมูลค่าได้อย่างแม่นยำ และวางแผนกลยุทธ์หลังการควบรวมได้อย่างมั่นใจ อย่าปล่อยให้ความไม่รู้ในวันนี้ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในวันหน้าครับ

ได้เวลาแล้วที่จะผนวกการตรวจสอบสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุกดีล M&A ของคุณอย่างจริงจัง เริ่มต้นจาก Checklist ที่เราให้ไว้ ตั้งคำถามที่ถูกต้อง และอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเสมอ

หากคุณกำลังวางแผน M&A และต้องการทีมงานมืออาชีพเข้ามาช่วยดูแลกระบวนการ Website Due Diligence ที่ซับซ้อน หรือต้องการคำปรึกษาสำหรับ การปรับปรุงเว็บไซต์หลังการควบรวม (Website Renovation) ทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาครับ ลองดูรายละเอียด บริการพัฒนาเว็บไซต์องค์กร ของเราเพื่อสร้างรากฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับกิจการใหม่ของคุณ

Prompt: ภาพจับมือกันเพื่อปิดดีลทางธุรกิจ โดยมีฉากหลังเป็นแดชบอร์ดดิจิทัลที่แสดงข้อมูลเว็บไซต์ที่โปร่งใสและกราฟสีเขียวที่เติบโตอย่างมั่นคง สื่อถึงการตัดสินใจที่ถูกต้องบนพื้นฐานของข้อมูล

แชร์

Recent Blog

Case Study: เราปั้นเว็บไซต์ SaaS Startup ให้มี Sign Up เพิ่มขึ้น 500% ได้อย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

Information Architecture (IA) คืออะไร? และทำไมมันคือกระดูกสันหลังของเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร