🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

เปรียบเทียบ Page Builder: Webflow vs Elementor vs Divi สำหรับคนที่ไม่อยากเขียนโค้ด

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

อยากมีเว็บสวยระดับโปร แต่เขียนโค้ดไม่เป็น? เลือก Page Builder ตัวไหนดี Webflow, Elementor, หรือ Divi?

เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? คุณมีความคิดเจ๋งๆ อยากสร้างเว็บไซต์สวยๆ เพื่อโปรโมทธุรกิจ, สร้างแบรนด์, หรือทำร้านค้าออนไลน์ แต่พอเริ่มหาข้อมูลก็เจอทางเลือกเต็มไปหมดจน “มึน” โดยเฉพาะชื่อของ Page Builder 3 ตัวท็อปอย่าง Webflow, Elementor, และ Divi ที่ต่างก็เคลมว่าเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ “เขียนโค้ดไม่เป็น” คำถามคือ...แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนคือ “คำตอบที่ใช่” สำหรับเราจริงๆ? เลือกผิดชีวิตเปลี่ยนนะครับ! จากเว็บที่ควรจะปัง อาจจะกลายเป็นเว็บที่ช้า, ดีไซน์ไม่ได้อย่างใจ, หรือมีค่าใช้จ่ายแฝงบานปลายจนน่าปวดหัว วันนี้เราจะมาผ่าทางตันนี้กันครับ!

Prompt: ภาพคนกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำหน้าครุ่นคิด สับสน โดยมีโลโก้ของ Webflow, Elementor, และ Divi ลอยอยู่รอบๆ ตัว สื่อถึงความซับซ้อนในการตัดสินใจเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์

ทำไมการเลือก Page Builder ถึงกลายเป็น “ปัญหาโลกแตก” ของคนทำเว็บ?

สาเหตุที่ทำให้หลายคนสับสน ไม่ใช่เพราะเครื่องมือเหล่านี้ไม่ดีนะครับ แต่เป็นเพราะพวกมันถูกสร้างขึ้นมาบน “ปรัชญา” และ “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลองนึกภาพตามนะครับ: Elementor และ Divi เปรียบเสมือน “ชุดแต่งรถขั้นเทพ” สำหรับรถยนต์ที่ชื่อว่า “WordPress” คุณต้องมีรถ WordPress ก่อน ถึงจะเอาชุดแต่งเหล่านี้ไปเสริมหล่อให้สวยงามและมีฟังก์ชันครบครันได้ พวกมันเป็น “ปลั๊กอิน” ที่ทำงานอยู่บนระบบของ WordPress อีกทีหนึ่ง

ในทางกลับกัน Webflow เปรียบเสมือน “รถยนต์ที่ออกแบบและผลิตมาทั้งคันจากโรงงานเดียวกัน” คือเป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจรในตัวเอง (All-in-One Platform) ตั้งแต่เครื่องมือออกแบบ, ระบบจัดการเนื้อหา (CMS), ไปจนถึง Hosting คุณภาพสูง ไม่ต้องพึ่งพาใคร ความแตกต่างเชิงโครงสร้างนี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของความซับซ้อนทั้งหมด เพราะมันส่งผลโดยตรงไปยังเรื่องความง่ายในการใช้งาน, ความเร็วเว็บไซต์, การดูแลรักษา, และราคาที่เราต้องจ่ายในระยะยาว การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Webflow และ WordPress สำหรับเว็บธุรกิจ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการตัดสินใจครับ

Prompt: ภาพอินโฟกราฟิกง่ายๆ เปรียบเทียบโครงสร้าง 2 แบบ ด้านหนึ่งเป็นภาพ конструктор WordPress มีปลั๊กอิน Elementor และ Divi แยกส่วนกันมาประกอบ ด้านที่สองเป็นภาพแพลตฟอร์ม Webflow ที่ทุกอย่างรวมอยู่ในที่เดียว (Design + CMS + Hosting)

ถ้าเลือกผิด...อาจไม่ได้แค่ “เสียเวลา” แต่ “เสียอนาคต” ธุรกิจ

การเลือก Page Builder ที่ไม่เหมาะกับเป้าหมายของคุณ เปรียบเหมือนการติดกระดุมเม็ดแรกผิด มันจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่น่ากลัวกว่าที่คิดเยอะครับ:

  • เว็บช้าเป็นเต่าคลาน: โดยเฉพาะเมื่อใช้ Page Builder บน WordPress (Elementor/Divi) แล้วลงปลั๊กอินเยอะๆ เพื่อเพิ่มฟังก์ชันต่างๆ มันทำให้โค้ดบวม (Bloated Code) และส่งผลให้เว็บโหลดช้าอย่างมหาศาล ซึ่ง Google ไม่ชอบ และที่สำคัญคือ “ลูกค้า” ก็ไม่รอครับ
  • ปัญหารักษาความปลอดภัยที่น่าปวดหัว: WordPress เป็นระบบที่ได้รับความนิยมสูงสุด จึงตกเป็นเป้าของการแฮกเสมอ คุณต้องคอยอัปเดตทั้งตัว WordPress, Theme, และปลั๊กอินต่างๆ (รวมถึง Elementor/Divi) ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ หากลืมหรืออัปเดตแล้วพัง ก็อาจเปิดช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดีได้
  • ติดกับดักด้านดีไซน์: แม้จะบอกว่ายืดหยุ่น แต่ Page Builder บางตัวก็ยังมีข้อจำกัด ทำให้คุณไม่สามารถออกแบบทุกอย่างได้ตามใจ 100% สุดท้ายเว็บคุณก็อาจจะหน้าตาคล้ายๆ กับเว็บอื่นที่ใช้เทมเพลตเดียวกัน
  • ค่าใช้จ่ายแฝงที่ควบคุมไม่ได้: ตอนแรกอาจจะดูเหมือนถูก แต่พอเริ่มทำจริง คุณอาจจะต้องซื้อปลั๊กอินเสริม, ซื้อโฮสติ้งที่ดีขึ้น, หรือจ้างคนมาดูแลเรื่องเทคนิค ทำให้งบประมาณบานปลายในระยะยาว การพิจารณา ค่าใช้จ่ายรวมของ Webflow เทียบกับ WordPress จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

การเลือกผิดพลาด ไม่ใช่แค่ทำให้คุณเสียเงินและเวลาในการแก้ไข แต่ยังอาจทำให้คุณเสียโอกาสทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย

Prompt: ภาพกราฟแสดงผลกระทบด้านลบ เช่น กราฟ Page Speed ที่ต่ำลง, ไอคอนรูปแม่กุญแจที่แตกหักสื่อถึงความปลอดภัย, และกราฟค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

เปิดไพ่เทียบชัดๆ! Webflow vs Elementor vs Divi ใครเด่นด้านไหน?

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาเปรียบเทียบ 3 ยักษ์ใหญ่นี้แบบหมัดต่อหมัดใน 4 ด้านสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ

1. ความง่ายในการใช้งาน (Ease of Use)

  • Elementor: ใช้ง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่ โดยเฉพาะคนที่คุ้นเคยกับ WordPress อยู่แล้ว มีระบบลากและวาง (Drag-and-Drop) ที่ตรงไปตรงมามากๆ เหมือนเล่นเกมสร้างเมืองเลยครับ
  • Divi: ใช้งานง่ายเช่นกัน และมีจุดเด่นคือ Visual Builder ที่ให้คุณแก้ไขทุกอย่างได้จากหน้าเว็บจริง (Frontend) โดยตรง เห็นการเปลี่ยนแปลงทันที แต่สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกว่ามีตัวเลือกเยอะจนล้นหลามไปหน่อย
  • Webflow: มีช่วงการเรียนรู้ (Learning Curve) ที่สูงที่สุดใน 3 ตัวนี้ครับ เพราะมันไม่ได้ออกแบบมาให้ง่ายแบบลากวางอย่างเดียว แต่ให้อารมณ์เหมือนโปรแกรมออกแบบอย่าง Photoshop หรือ Figma ที่เน้นการทำงานกับโครงสร้างเว็บจริงๆ (Box Model, Flexbox, Grid) แต่เมื่อคุณเข้าใจหลักการแล้ว มันจะให้อิสระในการออกแบบสูงสุดและทำงานได้เร็วกว่ามาก

2. ความยืดหยุ่นและพลังในการออกแบบ (Design Flexibility)

  • Divi & Elementor: ยืดหยุ่นสูงมากในฐานะปลั๊กอิน มีวิดเจ็ตและโมดูลสำเร็จรูปให้ใช้เยอะ สามารถสร้างเว็บที่สวยงามได้แน่นอน แต่บางครั้งอาจติดข้อจำกัดของ Theme หรือโครงสร้าง WordPress ทำให้การออกแบบที่ซับซ้อนมากๆ ทำได้ยาก หรือต้องใช้ CSS เข้ามาช่วย แหล่งข้อมูลดีๆ ที่เปรียบเทียบ Page Builder บน WordPress คือ CodeinWP ที่มีการทดสอบเชิงลึกครับ
  • Webflow: คือ “ที่สุดของความยืดหยุ่น” ในกลุ่มนี้ คุณสามารถควบคุมทุกพิกเซลบนหน้าเว็บได้อย่างสมบูรณ์แบบ สร้าง Layout ที่ซับซ้อน, Animation ที่น่าทึ่ง, และ Interaction ที่เหนือชั้นได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว มันให้พลังของ CSS แก่คุณในรูปแบบของ Visual Interface

3. ประสิทธิภาพและความเร็ว (Performance & Speed)

  • Elementor & Divi: นี่คือ “จุดอ่อน” สำคัญครับ เพราะการทำงานบน WordPress และการสร้างโค้ดจากระบบ Drag-and-Drop ทำให้พวกมันมักจะสร้างโค้ดที่หนักและซ้ำซ้อน (Bloated Code) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเร็วในการโหลดเว็บ แม้จะใช้ปลั๊กอินช่วย Cache หรือ Optimize ก็ตาม แต่ก็ยากที่จะเร็วเท่าเว็บที่สร้างจากโค้ดที่สะอาด
  • Webflow: ชนะขาดในข้อนี้ครับ เพราะ Webflow สร้างโค้ดที่ “สะอาด” และ “มีประสิทธิภาพ” มากๆ แถมยังมาพร้อมกับ Hosting ระดับโลก (ใช้ CDN ของ Fastly และ Amazon CloudFront) ที่ปรับแต่งมาเพื่อความเร็วสูงสุดโดยเฉพาะ ทำให้เว็บไซต์ที่สร้างจาก Webflow โหลดเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งดีต่อทั้ง SEO และประสบการณ์ผู้ใช้

4. ราคา (Pricing)

  • Elementor: มีเวอร์ชันฟรีที่ใช้งานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้องการฟีเจอร์ครบๆ ต้องใช้เวอร์ชัน Pro ซึ่งคิดราคาเป็นรายปี
  • Divi: ไม่มีเวอร์ชันฟรี แต่จ่ายครั้งเดียว (Lifetime) หรือรายปี แล้วใช้ได้ไม่จำกัดเว็บไซต์ ซึ่งดูคุ้มค่ามากสำหรับฟรีแลนซ์หรือเอเจนซี่
  • Webflow: มีแผนฟรีให้เริ่มสร้างและเรียนรู้ได้ แต่ถ้าจะเชื่อมต่อกับโดเมนของตัวเอง (Go Live) ต้องสมัครแผนเสียเงิน ซึ่งคิดราคาต่อเว็บไซต์และเป็นรายเดือนหรือรายปี ราคารวมอาจจะดูสูงกว่าในตอนแรก แต่เมื่อรวมค่า Hosting คุณภาพสูง, SSL, และความปลอดภัยเข้าไปแล้ว ถือว่าสมเหตุสมผลและควบคุมงบประมาณได้ง่ายกว่า

สำหรับคนที่กำลังชั่งใจอยู่ การอ่านบทความวิเคราะห์ว่า ใครกันแน่ที่เหมาะกับการใช้ Webflow จะช่วยให้คุณเห็นภาพมากขึ้นครับ

Prompt: ภาพตารางเปรียบเทียบ Webflow, Elementor, และ Divi ใน 4 หัวข้อหลัก (ความง่าย, ความยืดหยุ่น, ความเร็ว, ราคา) โดยใช้ไอคอนและแถบสีเพื่อแสดงให้เห็นจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละตัวอย่างชัดเจน

ตัวอย่างจากของจริง: เมื่อ “คาเฟ่เล็กๆ” พลิกยอดขายด้วยการเลือก “เครื่องมือที่ใช่”

คุณเจน เจ้าของคาเฟ่ Specialty เล็กๆ ในเชียงใหม่ เคยมีเว็บไซต์ WordPress ที่สร้างด้วย Divi มาก่อน เว็บหน้าตาสวยงามในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอเริ่มเพิ่มเมนูกาแฟ, โปรโมชั่น, และบทความเกี่ยวกับเมล็ดกาแฟเข้าไปเรื่อยๆ เว็บก็เริ่ม “อืด” อย่างเห็นได้ชัด การโหลดหน้าแรกใช้เวลาเกือบ 8 วินาที! ลูกค้าที่เข้ามาจาก Google Ads หลายคนกดปิดไปก่อนที่เว็บจะโหลดเสร็จด้วยซ้ำ แถมเธอยังเคยเจอปัญหาเว็บล่มหลังจากอัปเดตปลั๊กอินอีกด้วย

สุดท้ายเธอตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและ ย้ายเว็บไซต์จาก WordPress มายัง Webflow ทั้งหมด ทีมงานได้ออกแบบเว็บไซต์ใหม่โดยเน้นที่ความเร็วและประสบการณ์ผู้ใช้บนมือถือ ผลลัพธ์ที่ได้คือ “ฟ้ากับเหว” ครับ! เว็บไซต์ใหม่โหลดเสร็จในเวลาไม่ถึง 2 วินาที, ดีไซน์สวยงามและตอบโจทย์แบรนด์มากขึ้น, และที่สำคัญคือระบบจัดการเมนูและโปรโมชั่น (CMS) ของ Webflow ทำให้คุณเจนสามารถอัปเดตข้อมูลเองได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องกลัวเว็บพัง

เพียง 3 เดือนหลังจากเปิดตัวเว็บใหม่ ยอดสั่งซื้อเมล็ดกาแฟผ่านหน้าเว็บเพิ่มขึ้น 150% และอัตรา Bounce Rate ลดลงกว่า 60% นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการเลือกแพลตฟอร์มที่ให้ Performance ที่ดีกว่า มันส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจจริงๆ

Prompt: ภาพ Before & After ของเว็บไซต์คาเฟ่ ด้านซ้าย (Before) เป็นเว็บที่ดูรกและโหลดช้าบนมือถือ ด้านขวา (After) เป็นเว็บใหม่บน Webflow ที่ดูสะอาดตา รวดเร็ว และใช้งานง่าย พร้อมกราฟแสดงยอดขายที่พุ่งสูงขึ้น

แล้วสรุป...ฉันควรเลือกอะไรดี? (Checklist ตัดสินใจได้ทันที)

มาถึงตรงนี้ คุณคงพอเห็นภาพรวมและจุดเด่นของแต่ละตัวแล้ว ลองใช้ Checklist ง่ายๆ นี้เพื่อตัดสินใจเลือกเครื่องมือที่ “ใช่” สำหรับคุณได้เลยครับ

👉 เลือก Elementor ถ้า...

  • คุณใช้ WordPress อยู่แล้ว และต้องการเครื่องมือที่เรียนรู้ง่ายที่สุดเพื่อปรับปรุงเว็บเดิม
  • คุณต้องการทำเว็บง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และมีเวอร์ชันฟรีให้เริ่มต้น
  • คุณไม่กังวลเรื่อง Performance สูงสุด และพอใจกับการดูแลรักษาเว็บ WordPress

👉 เลือก Divi ถ้า...

  • คุณเป็นฟรีแลนซ์หรือเอเจนซี่ที่ต้องทำเว็บ WordPress ให้ลูกค้าหลายราย และต้องการดีลราคา Lifetime ที่คุ้มค่า
  • คุณชอบการแก้ไขเว็บจากหน้าบ้าน (Visual Builder) และต้องการ Theme กับ Page Builder ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
  • คุณต้องการระบบ A/B Testing ที่ติดมากับเครื่องมือเลย

👉 เลือก Webflow ถ้า...

  • คุณต้องการ “อิสระในการออกแบบสูงสุด” และต้องการสร้างเว็บไซต์ที่มีดีไซน์ไม่เหมือนใคร
  • คุณให้ความสำคัญกับ “ความเร็วของเว็บไซต์” และ “SEO” เป็นอันดับแรก
  • คุณต้องการแพลตฟอร์มที่ “จบในที่เดียว” ทั้งออกแบบ, CMS, และ Hosting คุณภาพสูง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการอัปเดตหรือความปลอดภัย
  • คุณมองหาเครื่องมือที่สามารถสเกลไปสู่โปรเจกต์ที่ซับซ้อนในอนาคตได้ และพร้อมที่จะลงทุนเวลาในการเรียนรู้ในช่วงแรก

การตัดสินใจ ย้ายมาใช้ Webflow อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาวสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างจริงจัง

Prompt: ภาพอินโฟกราฟิกแบบ Flowchart ที่มีคำถามนำทาง เช่น "คุณให้ความสำคัญกับอะไรที่สุด?" (ความง่าย / ราคา / ความเร็ว) แล้วแตกแขนงไปยังโลโก้ของ Elementor, Divi, หรือ Webflow ตามคำตอบ

คำถามที่คนมักสงสัย (FAQ) และคำตอบที่เคลียร์ที่สุด

ถาม: ตัวไหนดีที่สุดสำหรับ SEO?

ตอบ: โดยพื้นฐานแล้ว ทั้งสามตัวสามารถทำ SEO ได้ดีครับ แต่ Webflow มีความได้เปรียบอย่างมากในทางเทคนิค เนื่องจากมันสร้างโค้ดที่สะอาดและเบากว่า ทำให้ได้คะแนน Core Web Vitals ที่ดีกว่าโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ การที่ไม่ต้องพึ่งพาปลั๊กอิน SEO ก็ช่วยลดความซับซ้อนและความเสี่ยงลงได้ครับ

ถาม: ฉันต้องซื้อ Hosting แยกสำหรับทุกตัวไหม?

ตอบ: สำหรับ Elementor และ Divi “ใช่ครับ” คุณต้องมี Hosting สำหรับเว็บไซต์ WordPress ของคุณเองก่อน ส่วน Webflow “ไม่ต้องครับ” ราคาของ Webflow ได้รวม Hosting คุณภาพสูงไว้ในแพ็คเกจเรียบร้อยแล้ว

ถาม: ในระยะยาว ตัวไหนประหยัดกว่ากัน?

ตอบ: คำถามนี้ซับซ้อนครับ Divi อาจจะดูถูกที่สุดในตอนแรกด้วยดีล Lifetime แต่คุณต้องรวมค่าใช้จ่ายเรื่อง Hosting, ปลั๊กอินเสริม, และค่าดูแลรักษาเข้าไปด้วย ส่วน Webflow แม้จะจ่ายรายเดือนที่ดูสูงกว่า แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่แน่นอนและควบคุมได้ง่าย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ที่จะตามมา หากเทียบกันในด้าน “ต้นทุนรวม” (Total Cost of Ownership) Webflow มักจะคุ้มค่ากว่าสำหรับธุรกิจที่จริงจังครับ

ถาม: สร้างเว็บ E-commerce ได้ไหม?

ตอบ: ได้ทั้งสามตัวครับ! Elementor และ Divi จะทำงานร่วมกับปลั๊กอิน WooCommerce บน WordPress ซึ่งเป็นระบบที่ทรงพลังและยืดหยุ่นสูง ส่วน Webflow ก็มีระบบ E-commerce ของตัวเองที่ใช้งานง่ายและผสานเข้ากับดีไซน์ได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับร้านค้าที่มีสินค้าไม่ซับซ้อนมากและเน้นประสบการณ์ของแบรนด์

Prompt: ภาพไอคอนเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ พร้อมกับไอคอนย่อยๆ ที่สื่อถึง SEO (กราฟ), Hosting (เซิร์ฟเวอร์), ราคา (ป้ายราคา), และ E-commerce (ตะกร้าสินค้า) อยู่รอบๆ

สรุปให้เข้าใจง่าย: เลือก “อาวุธ” ให้ถูกกับ “สนามรบ” ของคุณ

การเลือกระหว่าง Webflow, Elementor, และ Divi ไม่ได้มีคำตอบว่า “อะไรดีที่สุด” แต่มีเพียงคำตอบว่า “อะไรที่เหมาะกับคุณที่สุด” เท่านั้น

Elementor และ Divi คือสุดยอดเครื่องมือในโลกของ WordPress ที่ให้ความง่ายและความคุ้มค่า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นหรือคุ้นเคยกับระบบนิเวศของ WordPress เป็นอย่างดี

ส่วน Webflow คืออนาคตของ Web Design ที่ให้อิสระ, พลัง, และประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับ Designer, Marketer, และเจ้าของธุรกิจที่มองการณ์ไกลและต้องการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง

ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “เริ่มต้นลงมือทำ” ครับ อย่าปล่อยให้ความลังเลมาขัดขวางไอเดียดีๆ ของคุณ ทดลองใช้เวอร์ชันฟรีของแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อดูว่าคุณเข้ากับตัวไหนได้ดีที่สุด แล้วเลือกอาวุธที่ใช่เพื่อสร้างเว็บไซต์ในฝันของคุณให้เป็นจริง

หากคุณมองเห็นถึงพลังของ Webflow และต้องการสร้างเว็บไซต์ที่ไม่ใช่แค่สวย แต่ยังเร็ว, ปลอดภัย, และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างแท้จริง แต่ไม่อยากเสียเวลาเรียนรู้เองทั้งหมด ให้ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ Webflow ของเรา ช่วยดูแลสิครับ เราพร้อมเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของคุณให้กลายเป็นเว็บไซต์ที่น่าทึ่ง หรือ ดูบริการสร้างเว็บไซต์ทั้งหมดของเรา เพื่อหาโซลูชันที่ตอบโจทย์คุณที่สุดได้เลย!

Prompt: ภาพที่ทรงพลัง แสดงมือของคนกำลังคลิกปุ่ม "Publish" บนหน้าจอที่ออกแบบด้วย Webflow โดยมีฉากหลังเป็นกราฟธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างสวยงาม สื่อถึงการตัดสินใจที่ถูกต้องและผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

แชร์

Recent Blog

Case Study: เราปั้นเว็บไซต์ SaaS Startup ให้มี Sign Up เพิ่มขึ้น 500% ได้อย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

Information Architecture (IA) คืออะไร? และทำไมมันคือกระดูกสันหลังของเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร