แก้ปัญหา "Keyword Cannibalization" เพื่อปลดล็อกศักยภาพ SEO ของเว็บไซต์คุณ

หลายหน้าแย่งกัน...ทำไมอันดับ SEO ถึงไม่ไปไหน? นี่คือปัญหาที่เรียกว่า "Keyword Cannibalization"
เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? คุณทุ่มเทสร้างคอนเทนต์คุณภาพดีหลายชิ้นสำหรับคีย์เวิร์ดทำเงินที่คุณหมายตาไว้ เขียนบทความ A, สร้างหน้าสินค้า B, ทำ Landing Page C...ทั้งหมดก็เพื่อจะครอบครองอันดับ 1 บน Google ให้ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่ฝัน อันดับของคุณกลับนิ่งสนิทอยู่หน้า 2 หรือที่แย่ไปกว่านั้นคืออันดับสวิงขึ้นลงอย่างกับรถไฟเหาะ วันนี้หน้า A ติดอันดับ พรุ่งนี้หน้า B มาแทนที่ แล้วก็หายไปทั้งคู่... ถ้าคุณกำลังเจอกับสถานการณ์ "ยิ่งทำ...ยิ่งยุ่ง" แบบนี้อยู่ มีโอกาสสูงมากที่คุณกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจที่ซ่อนอยู่ในเว็บไซต์ของคุณเอง มันคือปัญหาที่เรียกว่า "Keyword Cannibalization" หรือ "การที่หน้าเพจต่างๆ ในเว็บเดียวกัน แย่งชิงอันดับกันเอง" ครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกแสดงถึงหน้าเว็บ 3-4 หน้าจากโดเมนเดียวกัน กำลังชักเย่อแย่งชิงโล่รางวัลอันดับ 1 ของ Google ทำให้ทั้งหมดล้มไม่เป็นท่า สื่อถึงการแข่งขันกันเองจนไม่มีใครชนะ
ทำไมเว็บเราถึง "กินตัวเอง"? เปิดสาเหตุของ Keyword Cannibalization
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจร้าย แต่มักเกิดจาก "ความหวังดี" ที่ขาดการวางแผนอย่างเป็นระบบครับ เมื่อเวลาผ่านไป เรามักจะสร้างคอนเทนต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งหัวข้อก็เริ่มซ้ำซ้อนกันโดยไม่รู้ตัว สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิด Keyword Cannibalization ได้แก่:
- การสร้างบทความในหัวข้อใกล้เคียงกันเกินไป: เช่น คุณอาจมีบทความ "วิธีเลือกซื้อรองเท้าวิ่ง" และอีกบทความคือ "เทคนิคการเลือกรองเท้าวิ่งสำหรับมือใหม่" ซึ่งทั้งสองบทความต่างก็พยายามจะตอบคำถามเดียวกันสำหรับคีย์เวิร์ด "เลือกรองเท้าวิ่ง"
- โครงสร้างเว็บไซต์ที่ไม่มีการจัดกลุ่ม: ขาดการวางแผนว่าหน้าไหนควรเป็น "หน้าหลัก" (Pillar Page) และหน้าไหนควรเป็น "หน้าย่อย" (Cluster Content) ทำให้ทุกหน้ามีความสำคัญเท่ากันในสายตา Google
- On-Page SEO ที่ไม่แตกต่าง: การใช้ Meta Title, H1, และเนื้อหาที่โฟกัสคีย์เวิร์ดเดียวกันเป๊ะๆ ในหลายๆ หน้า ทำให้ Google สับสนว่าจะเลือกหน้าไหนมาจัดอันดับดี
- กลยุทธ์คอนเทนต์ที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ: การเร่งผลิตคอนเทนต์โดยไม่มีการตรวจสอบว่ามีหัวข้อที่ซ้ำกับของเก่าหรือไม่
- อันดับที่ไม่เสถียรและต่ำกว่าที่ควร: แทนที่ Google จะรวมพลังทั้งหมดไปที่หน้าเดียวเพื่อให้ติด Top 3 มันกลับต้องกระจายพลังงานไปให้หลายๆ หน้า ทำให้ไม่มีหน้าไหนแข็งแกร่งพอที่จะไปถึงดวงดาวได้
- เสียโอกาสในการได้ Backlink ที่ทรงพลัง: แทนที่ลิงก์จากเว็บภายนอกจะชี้มาที่หน้าหลักหน้าเดียวเพื่อสร้าง Authority มันกลับกระจัดกระจายไปยังหน้าต่างๆ ที่ซ้ำซ้อนกัน ทำให้พลังของ Backlink ถูกเจือจางลง
- ลดทอน Conversion Rate: บ่อยครั้งที่หน้าที่ไม่ควรจะติดอันดับ (เช่น บทความบล็อกทั่วไป) กลับมาแย่งอันดับหน้าขายของ (Product Page) ไปซะอย่างนั้น เมื่อลูกค้าเข้ามาเจอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความตั้งใจในการซื้อ เขาก็พร้อมจะกดปิดทันที นี่คือสาเหตุที่ การตรวจสอบและปรับปรุงเว็บไซต์ E-commerce เป็นสิ่งจำเป็น
- สิ้นเปลือง Crawl Budget: Google มีโควต้าในการเข้ามาเก็บข้อมูลในเว็บของเรา (Crawl Budget) การมีหน้าที่ซ้ำซ้อนกันเยอะๆ ทำให้ Google ต้องเสียเวลาไปกับหน้าที่ไม่สำคัญ และอาจทำให้หน้าที่เราสร้างขึ้นมาใหม่หรือหน้าที่สำคัญจริงๆ ถูก index ช้าลง
- ส่งสัญญาณที่ไม่ดีให้ Google: มันบ่งบอกว่าเว็บไซต์ของคุณมี โครงสร้างข้อมูล (Information Architecture) ที่ไม่ดี ไม่มีการจัดระเบียบ ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในระยะยาว
- รวมร่าง (Consolidate & Merge): นี่คือวิธีที่ดีและได้ผลบ่อยที่สุดครับ คือการนำเนื้อหาที่ดีที่สุดจากหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน มารวมไว้ในหน้าเดียวให้กลายเป็น "สุดยอดบทความ" หรือ "Pillar Page" ที่สมบูรณ์แบบที่สุด จากนั้นทำการ 301 Redirect จากหน้าที่ไม่ใช้แล้วทั้งหมดมายังหน้าที่เป็น "ตัวจริง" วิธีนี้จะช่วยรวมพลัง Link Equity และ Authority ทั้งหมดมาไว้ที่เดียว
- ตัดทิ้ง (Remove & Redirect): หากตรวจสอบแล้วพบว่าบางหน้ามีเนื้อหาคุณภาพต่ำมาก ไม่มี traffic หรือไม่มี Backlink เลย การลบหน้านั้นทิ้งไป แล้วทำ 301 Redirect ไปยังหน้าหลักก็เป็นทางเลือกที่ดี เพื่อกำจัดหน้าที่เป็นขยะออกจากระบบ
- ปรับแก้ (Re-optimize): ในกรณีที่คุณจำเป็นต้องเก็บทุกหน้าไว้ แต่ละหน้ามีประโยชน์ในมุมที่ต่างกัน คุณสามารถ "ลดความสำคัญ" ของหน้าที่ไม่ใช่หน้าหลักได้ โดยการปรับแก้ On-Page SEO ของหน้าเหล่านั้นให้ไปโฟกัส "Long-tail Keyword" ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับคีย์เวิร์ดหลักโดยตรง
- บอกตัวจริง (Canonicalize): ใช้ Canonical Tag (`rel="canonical"`) ในหน้าที่ซ้ำซ้อน เพื่อชี้ไปบอก Google ว่า "หน้านี้เป็นแค่สำเนานะ ตัวจริงอยู่ที่ URL นู้น!" วิธีนี้เหมาะสำหรับหน้าที่ต้องมีเนื้อหาคล้ายกันแต่ไม่สามารถรวมหรือลบได้ เช่น หน้าสินค้าที่มีสีหรือขนาดต่างกันเล็กน้อย การวาง กลยุทธ์การทำ Internal Link ที่ดีโดยให้ลิงก์ส่วนใหญ่ชี้ไปที่หน้าหลักเสมอ ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิธีนี้เช่นกัน
- หาผู้ต้องสงสัย: เข้า Google Search Console ไปที่ Performance > Queries แล้วหาคีย์เวิร์ดสำคัญของคุณ คลิกเข้าไปดูที่แท็บ "Pages" เพื่อดูว่ามี URL ไหนบ้างที่ติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดนั้นๆ
- ยืนยันด้วยตัวเอง: นำคีย์เวิร์ดนั้นไปค้นหาใน Google ด้วยคำสั่ง `site:yourdomain.com "คีย์เวิร์ด"` เพื่อดูรายชื่อ URL ทั้งหมดที่ Google มองว่าเกี่ยวข้อง
- ประเมินคุณค่า: เปิดทุก URL ที่เข้าข่าย แล้วประเมินแต่ละหน้าด้วยคำถาม: หน้านี้มี Traffic หรือไม่? มี Backlink หรือเปล่า? คุณภาพเนื้อหาเป็นอย่างไร? ตอบโจทย์ User Intent ได้ดีแค่ไหน?
- เลือกกลยุทธ์สังหาร: จากข้อมูลในข้อ 3 ให้ตัดสินใจเลือกวิธีจัดการที่เหมาะสมที่สุด (รวมร่าง, ตัดทิ้ง, ปรับแก้, หรือบอกตัวจริง) สำหรับแต่ละ URL
- ลงมือปฏิบัติ: เริ่มกระบวนการรวมเนื้อหา, ตั้งค่า 301 Redirect, แก้ไข On-Page SEO หรือใส่ Canonical Tag ตามแผนที่วางไว้
- จัดทัพ Internal Link ใหม่: ตรวจสอบและแก้ไขลิงก์ภายในเว็บไซต์ทั้งหมดให้ชี้ไปยัง "หน้าหลัก" ที่คุณเลือกไว้เพียงหน้าเดียว
- แจ้งข่าวให้ Google ทราบ: เข้าไปที่ Google Search Console แล้วใช้เครื่องมือ URL Inspection เพื่อ "Request Indexing" ให้กับหน้าที่คุณเพิ่งปรับปรุง (หน้าหลัก) และหน้าที่คุณทำ Redirect เพื่อเร่งให้ Google เข้ามาตรวจสอบเร็วขึ้น
- ติดตามผล: คอยดูข้อมูลใน Google Search Console และเครื่องมือวัดอันดับอื่นๆ ในอีก vài สัปดาห์ข้างหน้า คุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น! หากปัญหามีความซับซ้อน การทำ SEO Log File Analysis อาจช่วยให้เห็นภาพลึกขึ้นว่า Googlebot มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บคุณอย่างไร
- Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพแสดงกราฟอันดับ SEO ที่เคยพุ่งขึ้น แต่ตอนนี้กลับสั่นและดิ่งหัวลง พร้อมมีไอคอนรูปลิงก์ที่แตกกระจาย และไอคอนรูปรถเข็นสินค้าที่ถูกทิ้ง
- 4 วิธีหลักในการหยุดปัญหา Keyword Cannibalization (และควรเริ่มตรงไหน)
- ข่าวดีคือ ปัญหานี้แก้ไขได้! และเมื่อแก้ถูกจุด อันดับ SEO ของคุณก็พร้อมที่จะพุ่งทะยานขึ้นทันทีครับ หัวใจสำคัญคือการ "จัดระเบียบ" และ "บอก Google ให้ชัดเจนว่าหน้าไหนคือหน้าแม่ทัพ" โดยเริ่มต้นจากการตรวจสอบหาหน้าที่มีปัญหาก่อน ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยค้นหาใน Google ด้วยคำสั่ง `site:yourdomain.com "คีย์เวิร์ดเป้าหมาย"` เมื่อเจอหน้าที่แย่งกันแล้ว ให้เลือกใช้วิธีแก้ปัญหา 1 ใน 4 วิธีนี้ครับ:
- สำหรับข้อมูลเชิงลึกและเทคนิคเพิ่มเติม คุณสามารถศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือระดับโลกอย่าง Backlinko และ บล็อกของ Ahrefs ได้ครับ
- Prompt สำหรับภาพประกอบ: อินโฟกราฟิกที่แสดง 4 ไอคอนแทน 4 วิธีแก้ปัญหา: 1. ไอคอนแม่เหล็กดูด 2 หน้าเว็บมารวมกัน (Consolidate), 2. ไอคอนถังขยะ (Remove), 3. ไอคอนรูปดินสอกำลังแก้ไขคีย์เวิร์ด (Re-optimize), 4. ไอคอนป้ายแท็กชี้ไปที่โล่กัปตัน (Canonicalize)
- ตัวอย่างจากของจริง: เมื่อร้านค้าออนไลน์ปลดล็อกยอดขายด้วยการแก้ Cannibalization
- ลองนึกภาพตามนะครับ มีร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่งขาย "เครื่องชงกาแฟ Cold Brew" พวกเขามีทั้งหน้า Category สินค้า, บทความ "5 เหตุผลที่ควรดื่มกาแฟ Cold Brew", และอีกบทความคือ "รีวิวเครื่องชงกาแฟ Cold Brew ยี่ห้อดัง" ทั้งสามหน้านี้ต่างก็พยายามติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ด "เครื่องชงกาแฟ Cold Brew" ผลลัพธ์คืออันดับของพวกเขาวนเวียนอยู่ที่ 9-15 ไม่เคยขึ้นหน้าหนึ่งได้เลย
- ภารกิจ: ทีมงานตัดสินใจยกเครื่องใหม่ พวกเขาเลือกใช้กลยุทธ์ "รวมร่าง" (Consolidate) โดยนำเนื้อหา "5 เหตุผลที่ควรดื่ม" และ "ส่วนรีวิวที่ดีที่สุด" มารวมไว้ในหน้า Category สินค้า ทำให้หน้า Category กลายเป็น Ultimate Guide ที่ให้ข้อมูลครบถ้วนในที่เดียว ทั้งให้ความรู้และขายของได้ในตัว จากนั้นก็ลบบทความเก่าทิ้งและทำ 301 Redirect มายังหน้า Category นี้ พร้อมทั้งปรับ Internal Link ทั้งหมดให้ชี้มาที่นี่ที่เดียว
- ผลลัพธ์: เพียงแค่ 1 เดือนหลังจากที่ Google เข้ามาเก็บข้อมูลใหม่ หน้า Category "เครื่องชงกาแฟ Cold Brew" ของพวกเขาก็พุ่งจากอันดับ 12 ขึ้นมาอยู่อันดับ 3! Traffic ที่เข้าหน้านี้เพิ่มขึ้น 250% และที่สำคัญคือ Conversion Rate เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะลูกค้าเจอข้อมูลที่ต้องการและสามารถตัดสินใจซื้อได้ในหน้าเดียวจบ นี่คือพลังของการจัดระเบียบและสร้าง Topic Clusters และ Pillar Pages ที่ถูกต้อง
- Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Before & After ของหน้าจอผลการค้นหา Google ด้านซ้าย (Before) แสดง 3 URL จากเว็บเดียวกันติดอันดับ 9, 12, 15 ด้านขวา (After) แสดง 1 URL จากเว็บเดียวกันติดอันดับ 3 อย่างโดดเด่น
- Checklist พร้อมลุย! ลงมือแก้ Keyword Cannibalization ด้วยตัวคุณเอง
- ถึงตาคุณแล้วครับ! ลองใช้ Checklist ง่ายๆ นี้เพื่อเริ่ม "เก็บกวาด" เว็บไซต์ของคุณและปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่:
- Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ที่มีช่องให้ติ๊กถูก พร้อมไอคอนประกอบแต่ละข้อ เช่น รูปแว่นขยาย, รูปตา, รูปตาชั่ง, รูปค้อน, รูปโซ่ลิงก์, และรูปกราฟที่พุ่งขึ้น
- คำถามที่คนมักสงสัย (FAQ) เกี่ยวกับ Keyword Cannibalization
- ผมได้รวบรวมคำถามที่เจอบ่อยๆ เกี่ยวกับปัญหานี้มาตอบให้เคลียร์กันไปเลยครับ
- ถาม: Keyword Cannibalization เป็นเรื่องแย่เสมอไปเลยหรือเปล่า?
ตอบ: โดยส่วนใหญ่ (95%) คือใช่ครับ เพราะมันสร้างความสับสนและเจือจางพลัง SEO แต่จะมีบางกรณีที่ยอมรับได้ เช่น การตั้งใจให้หน้าสินค้า (Transactional Intent) และบทความ (Informational Intent) ติดอันดับใกล้ๆ กันสำหรับคีย์เวิร์ดกว้างๆ แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ควรมีหน้าหลักที่ชัดเจนสำหรับแต่ละ Intent และใช้ Internal Link เพื่อส่งสัญญาณให้ถูกต้อง - ถาม: การแก้ไขปัญหานี้จะทำให้ผมเสีย Traffic จากหน้าที่ถูกลบหรือ Redirect ไปไหม?
ตอบ: ไม่ครับ ถ้าคุณทำ 301 Redirect อย่างถูกต้อง พลังของหน้าเก่า (Link Equity) และ Traffic จะถูกส่งต่อไปยังหน้าใหม่อย่างสมบูรณ์ ในระยะยาว Traffic รวมของคุณจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะหน้าหลักของคุณจะมีอันดับที่ดีขึ้นและมั่นคงขึ้น - ถาม: ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลหลังจากแก้ไขแล้ว?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับความถี่ที่ Google เข้ามา crawl เว็บไซต์ของคุณครับ โดยทั่วไปแล้ว สำหรับเว็บไซต์ที่มีการอัปเดตสม่ำเสมอ คุณอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของอันดับได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ใน 2-3 เดือน - ถาม: ถ้าไม่เชี่ยวชาญด้านเทคนิค จะทำ 301 Redirect หรือใช้ Canonical Tag เองได้ไหม?
ตอบ: หากคุณใช้ CMS อย่าง WordPress จะมีปลั๊กอิน (เช่น Rank Math, Yoast SEO) ที่ช่วยให้การทำ 301 Redirect และการใส่ Canonical Tag ง่ายขึ้นมาก แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือใช้บริการ Website Renovation ก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกอย่างถูกตั้งค่าอย่างถูกต้อง 100% - Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพไอคอนรูปเครื่องหมายคำถาม (?) ขนาดใหญ่ และมีไอคอนคำตอบที่ชัดเจน (หลอดไฟ, เครื่องหมายถูก) ล้อมรอบ
- ถึงเวลาปลดล็อกศักยภาพ SEO ที่แท้จริงของเว็บไซต์คุณ
- มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าคุณคงเข้าใจแล้วว่า Keyword Cannibalization ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ แต่มันคือ "โซ่ตรวน" ที่ฉุดรั้งการเติบโตของเว็บไซต์คุณมาโดยตลอด การมีคอนเทนต์หลายชิ้นในเรื่องเดียวกันไม่ได้ช่วยให้คุณดูเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายตา Google แต่กลับทำให้คุณดูเป็นคนโลเลที่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า "หน้าไหนคือคำตอบที่ดีที่สุด"
- หัวใจของการแก้ปัญหานี้คือ "การตัดสินใจเลือก" และ "การจัดระเบียบ" ครับ จงกล้าที่จะรวมเนื้อหาที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเดียว กล้าที่จะตัดทิ้งหน้าที่ไม่มีคุณภาพ และบอก Google อย่างชัดเจนว่าหน้าไหนคือ "แม่ทัพ" ของคุณ เมื่อคุณสร้างหน้าเพจที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียวสำหรับแต่ละคีย์เวิร์ดเป้าหมายได้สำเร็จ คุณก็กำลังปูทางให้ Googleมอบรางวัลแห่งอันดับสูงสุดให้กับคุณ
- อย่าปล่อยให้ความพยายามในการสร้างคอนเทนต์ของคุณต้องสูญเปล่าเพราะการกินกันเองอีกต่อไปครับ ลองเริ่มต้นวันนี้ด้วยขั้นตอนที่ง่ายที่สุด: ใช้คำสั่ง `site:yourdomain.com "คีย์เวิร์ดสำคัญของคุณ"` แล้วดูสิว่ามีอะไรซ่อนอยู่ บางทีคุณอาจจะเจอขุมทรัพย์ SEO ที่รอให้คุณปลดล็อกอยู่ก็เป็นได้!
- หากคุณตรวจสอบแล้วพบว่าโครงสร้างเว็บไซต์มีความซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขได้ด้วยตัวเอง หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยวางกลยุทธ์และปรับปรุงเว็บไซต์ให้พร้อมทะยานสู่อันดับที่ดีที่สุด ปรึกษาทีมงาน Vision X Brain ได้เลยวันนี้ เราพร้อมช่วยคุณแก้ปัญหาที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย
- Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกุญแจสีทองกำลังไขเข้าไปในแม่กุญแจที่ติดอยู่กับจรวด SEO ที่กำลังเตรียมพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สื่อถึงการปลดล็อกศักยภาพ
เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น Google จะตกอยู่ในที่นั่งลำบากครับ มันไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า "หน้าไหนคือหน้าที่ดีที่สุดและควรค่าแก่อันดับ 1" ผลก็คือ Google อาจจะเลือกแสดงผลสลับไปมา หรือที่แย่ที่สุดคือ "ลดอันดับของทุกหน้าลง" เพราะมองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีความชัดเจนและไม่มีหน้าใดหน้าหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ การทำความเข้าใจ Keyword Cannibalization คืออะไรและจะแก้ไขได้อย่างไร คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหานี้ครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกง่ายๆ แสดง Google Bot กำลังยืนเกาหัวงงๆ อยู่ระหว่างประตู 3 บานที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะๆ และมีป้ายเขียนว่า "คีย์เวิร์ดเป้าหมาย" เหมือนกันทุกบาน
ปล่อยให้เว็บ "กินกันเอง" ต่อไป จะส่งผลร้ายมากกว่าที่คิด
หลายคนอาจคิดว่า "ก็ยังดีกว่าไม่ติดอันดับเลยไม่ใช่เหรอ?" แต่ในความเป็นจริง การปล่อยให้เกิด Keyword Cannibalization ต่อไปเรื่อยๆ กำลังบ่อนทำลายศักยภาพ SEO ของคุณอย่างช้าๆ และนี่คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น:
Recent Blog

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร