AIDA Model ในการเขียน Copywriting สำหรับ Landing Page

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต: "เว็บสวย...แต่ไร้คนซื้อ"
เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? คุณทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และงบประมาณไปกับการสร้าง Landing Page ที่ “สวยงาม” บน Webflow หรือแพลตฟอร์มไหนก็ตาม รูปภาพก็คมชัด ดีไซน์ก็ทันสมัย แต่พอถึงเวลาจริง...เสียงแจ้งเตือนออเดอร์กลับเงียบกริบ ยอดคนลงทะเบียนก็นิ่งสนิท หรือจำนวนคนติดต่อเข้ามาแทบจะเป็นศูนย์ คุณนั่งรีเฟรชหน้าจอครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับคำถามในใจว่า “ฉันทำอะไรผิดไป?” คุณจ่ายค่าโฆษณาไปมหาศาลเพื่อดึงคนเข้ามา แต่พวกเขากลับเข้ามา...แล้วก็จากไป เหมือนเป็นแค่ “นักท่องเที่ยว” ไม่ใช่ “ลูกค้า” ปัญหานี้คือฝันร้ายของนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจทุกคน และมันเจ็บปวดกว่าการไม่มีคนเข้าเว็บเสียอีก เพราะนี่คือการ “เสียโอกาส” ไปต่อหน้าต่อตา
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจกำลังนั่งกุมขมับอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงกราฟ Conversion Rate ตกต่ำ มี Landing Page ที่ดูสวยงามแต่ว่างเปล่าปรากฏอยู่บนจอ สะท้อนถึงความผิดหวังและสับสน]
ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น: กับดัก "ความสวยงาม" ที่ลืม "จิตวิทยา"
สาเหตุหลักที่ทำให้ Landing Page สวยๆ กลับขายไม่ได้ ไม่ใช่เพราะดีไซน์ไม่ดีครับ แต่เป็นเพราะมัน “ขาดการชี้นำทางความคิด” ที่ทรงพลังพอจะเปลี่ยน “ผู้เยี่ยมชม” ให้กลายเป็น “ผู้ซื้อ” ได้ เรามักจะติดกับดักของการ “นำเสนอ” แต่ลืมที่จะ “โน้มน้าว” เราบอกว่าสินค้าเรามีฟีเจอร์อะไรบ้าง (Features) แต่เราไม่ได้สื่อสารว่าฟีเจอร์เหล่านั้นจะเปลี่ยนชีวิตของลูกค้าให้ดีขึ้นได้อย่างไร (Benefits) หัวใจของปัญหานี้คือการขาดความเข้าใจใน “กระบวนการตัดสินใจของมนุษย์” เราไม่ได้สร้างสะพานเชื่อมระหว่าง “สิ่งที่ลูกค้าเห็น” กับ “สิ่งที่ลูกค้าต้องการ” อย่างเป็นระบบ นี่คือจุดที่โมเดลการตลาดสุดคลาสสิกอย่าง AIDA Model เข้ามามีบทบาทสำคัญ มันไม่ใช่แค่ทฤษฎีการตลาดเก่าๆ แต่มันคือพิมพ์เขียวทางจิตวิทยาที่จะนำทางลูกค้าของคุณทีละขั้น ตั้งแต่จุดที่ไม่รู้จัก...ไปจนถึงจุดที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินในที่สุด
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกง่ายๆ แสดงรูปสมองมนุษย์ฝั่งซ้ายมีคำว่า “ดีไซน์สวย” และฝั่งขวามีคำว่า “จิตวิทยาการโน้มน้าว” โดยมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงคั่นกลาง สื่อถึงการเชื่อมต่อที่ขาดหายไป]
ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง: "เผาเงินทิ้ง" และ "เสียโอกาสทางธุรกิจ"
การเพิกเฉยต่อโครงสร้างการโน้มน้าวใจบน Landing Page ก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงในถังที่รั่วครับ คุณอาจจะทุ่มงบโฆษณาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงคนเข้ามาให้มากขึ้น แต่เงินเหล่านั้นก็จะ “รั่วไหล” ออกไปเป็น Traffic ที่ไม่สร้างให้เกิด Conversion ใดๆ ผลกระทบที่ตามมานั้นร้ายแรงกว่าที่คิดครับ
1. เผาผลาญงบการตลาดอย่างไร้ค่า: ทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายค่าโฆษณาไปเพื่อให้ได้มาซึ่งคลิก จะกลายเป็นต้นทุนที่สูญเปล่าเมื่อ Landing Page ของคุณไม่สามารถเปลี่ยนคลิกนั้นให้เป็นลูกค้าได้
2. ค่า Acquisition Cost (ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า) พุ่งสูง: เมื่อ Conversion Rate ต่ำ คุณต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้ลูกค้าหนึ่งคน ซึ่งจะกัดกินกำไรของคุณในระยะยาว
3. เสียความน่าเชื่อถือของแบรนด์: Landing Page ที่สื่อสารไม่ชัดเจนหรือสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดี อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแบรนด์ของคุณไม่เป็นมืออาชีพและไม่น่าไว้วางใจ
4. คู่แข่งได้ลูกค้าไปแทน: ในขณะที่คุณกำลังสับสน ลูกค้าที่มีความต้องการซื้ออยู่แล้วอาจจะออกจากเว็บคุณแล้วไปซื้อสินค้าจากคู่แข่งที่มี Landing Page ที่ตอบโจทย์และโน้มน้าวใจได้ดีกว่า
การปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรัง คือการปล่อยให้ธุรกิจของคุณ “เลือดไหลไม่หยุด” และอาจนำไปสู่การสูญเสียโอกาสในการเติบโตอย่างน่าเสียดาย การทำความเข้าใจ เคล็ดลับการออกแบบ Landing Page ที่สร้าง Conversion สูง คือทางรอดเดียวของคุณ
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพถังน้ำที่มีป้ายแปะว่า “งบโฆษณา” กำลังรั่วไหลเป็นสายน้ำ โดยมีคนกำลังพยายามเทน้ำ (Traffic) เติมเข้าไปไม่หยุด สื่อถึงการกระทำที่สูญเปล่า]
มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน: ถอดรหัส AIDA Model ทีละขั้นตอน
ทางออกที่ตรงจุดและทรงพลังที่สุดคือการกลับมาที่พื้นฐาน แล้ววางโครงสร้างการสื่อสารบน Landing Page ของคุณใหม่ทั้งหมดโดยใช้ AIDA Model ซึ่งเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญที่คุณต้องนำทางลูกค้าให้ผ่านไปทีละด่านให้ได้
A = Attention (ดึงดูดความสนใจ)
นี่คือประตูบานแรก คุณมีเวลาแค่ 3-5 วินาทีในการ “จับสายตา” ของผู้เข้าชมและทำให้พวกเขาหยุดเลื่อนหนีไป หน้าที่ของคุณคือตอบคำถามว่า “ที่นี่มีอะไรน่าสนใจสำหรับฉัน?” ให้ได้ทันที
- พาดหัว (Headline) ที่ทรงพลัง: ต้องคม ชัดเจน และสื่อถึงผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ ไม่ใช่แค่บอกว่าคุณคือใคร
- ภาพหรือวิดีโอ (Hero Image/Video): ต้องสื่อถึงอารมณ์และผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่แค่ภาพสต็อกสวยๆ
I = Interest (สร้างความสนใจใคร่รู้)
เมื่อคุณได้ความสนใจมาแล้ว ด่านต่อไปคือการ “รักษาความสนใจ” นั้นไว้ และทำให้พวกเขารู้สึกว่า “เรื่องนี้น่าสนใจดีนะ...อยากรู้ต่อ”
- เล่าเรื่อง (Storytelling): เริ่มต้นด้วยการพูดถึง “ปัญหา” ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์
- ใช้ Bullet Points: สรุป “คุณประโยชน์ (Benefits)” ที่ลูกค้าจะได้รับแบบย่อยง่าย ไม่ใช่แค่ลิสต์ “คุณสมบัติ (Features)” ที่น่าเบื่อ
- แสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจเขา: ใช้ภาษาที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ และพูดถึง Pain Point ของเขาให้ตรงจุด
D = Desire (กระตุ้นความต้องการ)
ขั้นตอนนี้คือการเปลี่ยนจาก “ความสนใจ” ให้กลายเป็น “ความอยากได้อยากมี” คุณต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ฉันต้องมีสิ่งนี้ให้ได้!”
- Social Proof: ใช้รีวิวจากลูกค้าจริง, Testimonials, โลโก้ลูกค้าที่เคยใช้บริการ หรือ Case Study เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
- แสดงภาพแห่งความสำเร็จ: อธิบายหรือแสดงให้เห็นว่าชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างไรหลังจากใช้สินค้า/บริการของคุณ
- สร้างความรู้สึกพิเศษ (Exclusivity) หรือความเร่งด่วน (Urgency): เช่น โปรโมชั่นจำกัดเวลา, สินค้ามีจำนวนจำกัด เป็นต้น
A = Action (กระตุ้นให้ลงมือทำ)
ด่านสุดท้ายและสำคัญที่สุด คือการบอกให้พวกเขารู้ว่าต้อง “ทำอะไรต่อ” อย่างชัดเจนและง่ายดายที่สุด
- Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน: ใช้คำที่กระตุ้นให้ลงมือทำ (เช่น “เริ่มต้นใช้งานฟรีทันที”, “รับส่วนลดของคุณที่นี่”) ไม่ใช่คำที่เฉยชาอย่าง “ส่งข้อมูล”
- ดีไซน์ปุ่ม CTA ให้โดดเด่น: ใช้สีที่ตัดกับพื้นหลัง มีขนาดใหญ่พอให้เห็นง่าย
- ลดแรงเสียดทาน (Friction): ทำให้ฟอร์มกรอกข้อมูลง่ายและสั้นที่สุด ขอเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นจริงๆ
การทำความเข้าใจหลักการนี้อย่างลึกซึ้งคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการ AIDA ได้จากแหล่งข้อมูลชั้นนำอย่าง HubSpot และ Copyblogger เพื่อต่อยอดความเข้าใจของคุณ
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกที่สวยงามและเข้าใจง่าย แสดง 4 ขั้นตอนของ AIDA Model เป็นบล็อกต่อกันจากบนลงล่าง (Attention, Interest, Desire, Action) พร้อมไอคอนประกอบในแต่ละขั้นตอน]
ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ: พลิกชะตา Landing Page จาก "ร้าง" เป็น "รุ่ง"
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูตัวอย่างสมมติของบริษัท SaaS ที่ให้บริการระบบ CRM สำหรับฟรีแลนซ์
เวอร์ชันเก่า (Before): Landing Page ที่เน้น Features
- Headline: "Freelance CRM Pro X" (บอกชื่อผลิตภัณฑ์)
- Sub-headline: "ระบบ CRM ของเรามาพร้อมการจัดการโปรเจกต์, ระบบใบแจ้งหนี้, และการติดตามเวลา"
- Image: รูปกราฟิก Interface ของโปรแกรม
- Body: อธิบายฟีเจอร์ต่างๆ เป็นย่อหน้ายาวๆ
- CTA: ปุ่มสีเทาเขียนว่า “ลงทะเบียน”
- ผลลัพธ์: Conversion Rate 1.5% คนส่วนใหญ่เข้ามาแล้วงงและปิดทิ้ง
เวอร์ชันใหม่ (After): Landing Page ที่ใช้ AIDA Model
- Attention (Headline): “หยุดเสียเวลากับงานเอกสาร แล้วกลับไปโฟกัสงานที่คุณรัก” (พูดถึงผลลัพธ์)
- Interest (Sub-headline & Bullets): “เคยไหม? ที่ต้องวุ่นวายกับการตามเก็บใบแจ้งหนี้จนไม่มีเวลาทำงานสร้างสรรค์? เราช่วยให้ฟรีแลนซ์อย่างคุณ...
- ออกใบแจ้งหนี้และรับเงินออนไลน์ใน 2 นาที
- จัดการทุกโปรเจกต์ในที่เดียว ไม่ตกหล่น
- ประหยัดเวลาทำงานแอดมินเฉลี่ย 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์”
- Desire (Social Proof): แสดง Testimonial พร้อมรูปภาพจากฟรีแลนซ์ชื่อดัง: “หลังจากใช้ Tool นี้ ผมมีเวลาไปรับงานเพิ่มขึ้น 30% จริงๆ ครับ!” และมีโลโก้บริษัทลูกค้าที่น่าเชื่อถือ- Action (CTA): ปุ่มสีส้มขนาดใหญ่โดดเด่น เขียนว่า “เริ่มบริหารเวลาอย่างมือโปร (ฟรี 14 วัน)” พร้อมข้อความเล็กๆ ว่า “ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต”- ผลลัพธ์: Conversion Rate พุ่งขึ้นเป็น 8% เพราะมันสื่อสารกับ “ปัญหา” และ “ความต้องการ” ของผู้ใช้งานโดยตรง ไม่ใช่แค่การโฆษณาตัวเอง
นี่คือพลังของการวางโครงสร้างที่ถูกต้อง ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จากบทความเกี่ยวกับ จิตวิทยาเบื้องหลัง Landing Page
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบ Before/After ของ Landing Page สองเวอร์ชัน วางข้างกัน โดยเวอร์ชัน After มีการไฮไลท์จุดที่ใช้หลัก AIDA อย่างชัดเจน และมีกราฟแสดง Conversion Rate ที่พุ่งสูงขึ้นอยู่ด้านข้าง]
ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที): Workshop ย่อยๆ สำหรับ Landing Page ของคุณ
ไม่ต้องรอช้า! ลองหยิบกระดาษกับปากกา หรือเปิดโปรแกรม Text Editor ขึ้นมา แล้วทำ Workshop ย่อยๆ นี้ตามไปทีละขั้นตอนเพื่อร่างโครงสร้าง Landing Page ใหม่ของคุณได้เลย
ส่วนที่ 1: Attention - ตะขอที่ทรงพลังที่สุด
- ใครคือลูกค้าของคุณ?: อธิบายให้ชัดเจนใน 1 ประโยค
- ผลลัพธ์อันดับ 1 ที่เขาต้องการคืออะไร?: (เช่น ประหยัดเวลา, หาเงินได้มากขึ้น, ลดความเครียด)
- เขียน Headline 3 แบบโดยใช้สูตรนี้:
1. [ผลลัพธ์ที่ต้องการ] โดยไม่ต้อง [สิ่งที่เขาเกลียด] (เช่น “ปิดการขายได้มากขึ้น โดยไม่ต้องโทร Cold Call”)
2. วิธี [ทำสิ่งที่ต้องการ] สำหรับ [กลุ่มเป้าหมาย] (เช่น “วิธีลงทุนอย่างชาญฉลาดสำหรับมือใหม่”)
3. [คำกริยาที่ทรงพลัง] + [ผลลัพธ์] + [ในเวลาที่กำหนด] (เช่น “สร้างเว็บไซต์แรกของคุณให้เสร็จใน 1 ชั่วโมง”)
ส่วนที่ 2: Interest - ทำให้เขาอยากอ่านต่อ
- Pain Point หลัก 3 ข้อของลูกค้าคืออะไร?: (ลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ)
- สินค้าของคุณช่วยแก้แต่ละ Pain Point ได้อย่างไร?: (แปลง Feature เป็น Benefit) - เปลี่ยนเป็น Bullet Points ที่น่าสนใจ: เริ่มต้นด้วยคำกริยาที่แสดงผลลัพธ์
ส่วนที่ 3: Desire - ปลุกความอยากให้ลุกโชน
- หารีวิวที่ดีที่สุดของคุณมา 1-2 รีวิว: เลือกอันที่พูดถึง “ผลลัพธ์” ที่จับต้องได้
- หาโลโก้ลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์มาแสดง: (ถ้ามี)
- คุณจะบรรยายภาพ “ชีวิตหลังการใช้” ได้อย่างไร?: เขียน 1-2 ประโยคที่ทำให้เห็นภาพความสำเร็จ
ส่วนที่ 4: Action - ปิดการขายให้คม
- คุณอยากให้ลูกค้าทำอะไรที่สุด?: (เช่น ซื้อ, ลงทะเบียน, ดาวน์โหลด)
- เขียนข้อความสำหรับปุ่ม CTA 3 แบบ: ทำให้มันรู้สึกเหมือนเป็น “รางวัล” ไม่ใช่ “ภาระ”
- มีอะไรที่คุณจะมอบให้เพื่อ “ลดความเสี่ยง” ได้บ้าง?: (เช่น ทดลองใช้ฟรี, รับประกันคืนเงิน, ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต)
เมื่อทำเสร็จ คุณจะได้โครงร่าง (Blueprint) ของ Landing Page ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้นหลายเท่าตัว ลองดูตัวอย่าง Call-to-Action สำหรับ B2B เพื่อหาไอเดียเพิ่มเติม
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพโต๊ะทำงานที่มีสมุดโน้ตเปิดอยู่ แสดงการเขียน Workshop ตามขั้นตอน AIDA ที่อธิบายไป มีปากกาและแก้วกาแฟวางอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังลงมือทำจริง]
คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์
AIDA Model ดูเป็นทฤษฎีที่เก่าไปไหมสำหรับโลกการตลาดดิจิทัลปี 2025?
ไม่เก่าเลยครับ! จริงๆ แล้วมันสำคัญกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะแก่นของ AIDA คือ “จิตวิทยาของมนุษย์” ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “เครื่องมือ” และ “ช่องทาง” ที่เราใช้ในการนำเสนอ แต่กระบวนการตัดสินใจของผู้คนยังคงเป็นไปตามลำดับขั้นนี้เสมอ การเข้าใจ AIDA ทำให้เราสร้างสรรค์แคมเปญบน TikTok, Google Ads หรือแพลตฟอร์มใหม่ๆ ได้อย่างตรงจุดมากขึ้น
โมเดลนี้ใช้ได้ผลกับสินค้า/บริการที่มีราคาสูง หรือสำหรับธุรกิจ B2B ด้วยหรือเปล่า?
ใช้ได้ผลดีมากครับ สำหรับสินค้า B2B หรือของราคาสูง กระบวนการตัดสินใจอาจจะยาวนานกว่า แต่ก็ยังคงอยู่ในกรอบของ AIDA เช่นกัน
- Attention: อาจจะเป็น Whitepaper ที่น่าสนใจ หรือ Webinar ที่แก้ปัญหาเฉพาะทาง
- Interest: อาจจะเป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกผ่าน Case Study หรือบทความในบล็อก
- Desire: อาจจะเป็นการทำ Demo แบบส่วนตัว หรือการนำเสนอผล ROI ที่ชัดเจน
- Action: อาจจะเป็นการ “ขอใบเสนอราคา” หรือ “นัดเวลาปรึกษา” การเข้าใจ วิธีการเขียนหน้า ‘ทำไมต้องเลือกเรา’ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง Desire ในกลุ่ม B2B เช่นกัน
จำเป็นต้องเรียงลำดับ A-I-D-A เป๊ะๆ บน Landing Page ไหม?
โดยทั่วไปแล้ว การเรียงลำดับตามนี้จะสร้าง Flow ที่เป็นธรรมชาติที่สุดสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่รู้จักคุณดี แต่ก็สามารถยืดหยุ่นได้บ้าง เช่น คุณอาจจะวาง Social Proof (Desire) ไว้ใกล้กับส่วนต้นๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือตั้งแต่เนิ่นๆ แต่หัวใจสำคัญคือต้องมั่นใจว่าคุณได้ “เติมเต็ม” ความต้องการของลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอนก่อนที่จะขอให้เขา “Action”
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพไอคอนรูปเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ มีคนตัวเล็กๆ กำลังยืนคิดอยู่ข้างๆ และมีไอคอน A, I, D, A ลอยอยู่รอบๆ เพื่อสื่อถึงการไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโมเดลนี้]
สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ
การสร้าง Landing Page ที่มี Conversion สูง ไม่ใช่เรื่องของ “โชค” หรือ “ศิลปะ” ที่จับต้องไม่ได้ แต่มันคือ “วิทยาศาสตร์” ของการโน้มน้าวใจที่เป็นระบบ และ AIDA Model คือเครื่องมือที่ทรงพลังและง่ายที่สุดที่จะช่วยให้คุณวางโครงสร้างนั้นได้อย่างถูกต้อง มันบังคับให้เราเปลี่ยนมุมมองจากการ “อยากจะพูดอะไร” ไปเป็นการ “ลูกค้าอยากได้ยินอะไร” ในแต่ละช่วงเวลาของการตัดสินใจ
หยุดสร้างเว็บที่ “สวยแต่รูป จูบไม่หอม” ได้แล้วครับ วันนี้คุณได้พิมพ์เขียวที่ชัดเจนที่สุดไปอยู่ในมือแล้ว ลองนำ Workshop ที่ให้ไว้ไปลงมือทำกับ Landing Page ปัจจุบันของคุณ หรือใช้มันเป็นแนวทางในการสร้างหน้าใหม่ ผมรับรองว่าแค่การปรับเปลี่ยนมุมมองและโครงสร้างเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความแตกต่างให้กับ Conversion Rate และผลลัพธ์ทางธุรกิจของคุณได้อย่างมหาศาล
ถึงเวลาเปลี่ยนผู้เข้าชม ให้กลายเป็นลูกค้าตัวจริงแล้วหรือยัง? หากคุณต้องการผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยคุณ ออกแบบ Landing Page ที่ใช้หลักจิตวิทยาและ AIDA Model เพื่อสร้าง Conversion สูงสุดในประเทศไทย ทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาครับ!
[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกที่ทรงพลัง แสดงจรวดที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นฟ้า โดยตัวจรวดมีป้ายติดว่า “Conversion Rate” และมีเชื้อเพลิง 4 ถังที่มีป้าย A, I, D, A ติดอยู่ สื่อถึงการใช้ AIDA เป็นพลังขับเคลื่อนความสำเร็จ]
Recent Blog

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร