A/B Testing คืออะไร? เริ่มต้นทดลองง่ายๆ เพื่อเพิ่มยอดขายบนเว็บ E-Commerce

เจ้าของร้าน E-Commerce ทุกท่านครับ! เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? คุณทุ่มงบการตลาดไปมหาศาลเพื่อดึงคนเข้าเว็บไซต์ แต่ทำไมยอดขายกลับ "นิ่งสนิท" ไม่ขยับไปไหน? คุณลองเปลี่ยนรูปสินค้าใหม่, ปรับแก้ข้อความบนหน้าเว็บตาม "สัญชาตญาณ" แต่ผลลัพธ์ก็ยัง "เหมือนเดิม" ลูกค้าแวะเข้ามา...แล้วก็จากไป ทิ้งไว้เพียงความสงสัยว่า "ฉันทำอะไรผิดไป?"
ถ้าคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ "เดาใจลูกค้า" ที่น่าปวดหัวนี้อยู่ล่ะก็...คุณมาถูกที่แล้วครับ! เพราะวันนี้ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับ "อาวุธลับ" ที่จะเปลี่ยนการตลาดแบบ "เดาสุ่ม" ให้กลายเป็น "วิทยาศาสตร์" ที่วัดผลได้จริง อาวุธที่ว่านี้คือ "A/B Testing" เครื่องมือที่จะช่วยให้คุณ "หยุดเดา" และ "เริ่มสร้างยอดขาย" จากข้อมูลจริง! มาดูกันครับว่ามันคืออะไร และจะเปลี่ยนเว็บ E-Commerce ของคุณให้เป็นเครื่องจักรทำเงินได้อย่างไร
ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต: "ทราฟฟิกเยอะ...แต่ยอดขายไม่มา"
นี่คือภาพสะท้อนที่เจ้าของธุรกิจออนไลน์หลายคนเจอจนชินตาครับ เราใช้เวลาและเงินทุนมากมายไปกับการทำ SEO, ยิงแอด Google, ทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย เพื่อพาผู้คนมาที่ "หน้าร้านดิจิทัล" ของเรา แต่กลับต้องมานั่งกุมขมับกับปัญหาคลาสสิกเหล่านี้:
- ลูกค้าทิ้งตะกร้า (Cart Abandonment): มีคนกดเพิ่มสินค้าลงตะกร้าเยอะมาก แต่พอถึงขั้นตอนจ่ายเงิน...กลับหายเงียบไปอย่างน่าใจหาย
- Conversion Rate ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน: อัตราส่วนของคนที่เข้ามาดูเว็บเทียบกับคนที่ซื้อจริงมันน้อยนิดเหลือเกิน ทั้งๆ ที่สินค้าของเราก็ดีไม่แพ้ใคร
- เปลี่ยนเว็บทีไร...ยอดขายตกทุกที: อยากจะปรับปรุงเว็บให้สวยขึ้น แต่ทุกครั้งที่เปลี่ยนดีไซน์ใหม่ตามความรู้สึก ยอดขายกลับแย่ลงกว่าเดิม!
- ไม่รู้จะเริ่มแก้ตรงไหน: ปัญหาเกิดจากอะไรกันแน่? รูปภาพไม่สวย? ปุ่มซื้อสีไม่เด่น? หรือคำโปรยไม่โดนใจ? คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวเต็มไปหมด
ความรู้สึกเหมือน "ติดอยู่ในเขาวงกต" ที่หาทางออกไม่เจอแบบนี้ คือสัญญาณชัดเจนว่าคุณกำลังพึ่งพา "การเดา" มากกว่า "ข้อมูล" ครับ และการทำความเข้าใจ จิตวิทยาที่ทำให้คนคลิกบน Landing Page คือจุดเริ่มต้นของการหาทางออกจากวงจรนี้
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเจ้าของร้าน E-Commerce นั่งกุมขมับอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่แสดงกราฟทราฟฟิกพุ่งสูง แต่กราฟยอดขายกลับราบเรียบ มีเครื่องหมายคำถาม (?) ลอยอยู่เต็มหัว
ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น: การตัดสินใจที่ไม่มี "ข้อมูล" รองรับ
สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เราแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่งหรือไม่พยายามนะครับ แต่เป็นเพราะเรากำลังตัดสินใจโดยอาศัย "ความคิดเห็น" และ "ความรู้สึกส่วนตัว" เป็นหลัก ซึ่งในโลกของธุรกิจออนไลน์ มันคือกับดักที่อันตรายที่สุดครับ ปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจาก:
- การเชื่อสัญชาตญาณมากเกินไป: "ฉันว่าสีนี้น่าจะสวยกว่า" หรือ "ผมคิดว่าคำนี้น่าจะโดนใจลูกค้า" ความคิดเห็นเหล่านี้แม้จะมาจากความหวังดี แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าลูกค้าจะคิดเหมือนกับเรา
- HiPPO Effect (Highest Paid Person's Opinion): การตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับความเห็นของผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในองค์กร ซึ่งอาจไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับข้อมูลหรือลูกค้าตัวจริง ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ตอบโจทย์ตลาด
- ออกแบบตามใจฉัน (Design by Committee): ทุกคนในทีมต่างมีความคิดเห็นของตัวเอง ทำให้หน้าเว็บที่ออกมาเป็นผลลัพธ์ของการ "ประนีประนอม" ที่ไม่มีจุดยืนชัดเจนและไม่สามารถสร้างผลกระทบที่แท้จริงได้
เมื่อเราลงมือเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์โดยไม่มีข้อมูลจริงมายืนยัน ก็ไม่ต่างอะไรกับการ "หลับตาขับรถ" เราอาจจะโชคดีถึงที่หมาย แต่ส่วนใหญ่มักจะลงเอยด้วยการ "เสียเวลา" "เสียเงิน" และ "เสียโอกาส" ไปอย่างน่าเสียดายครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพการประชุมที่มีคนชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมพูดว่า "ผมว่าแบบนี้ดีกว่า!" ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมีกราฟข้อมูลจริงแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม
ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง: มากกว่าแค่ "ยอดขายไม่โต"
การเพิกเฉยต่อการใช้ข้อมูลและยังคงทำการตลาดแบบ "เดาสุ่ม" ต่อไปเรื่อยๆ จะสร้างผลกระทบเชิงลบที่ลุกลามเหมือนโดมิโน่ และกัดกินธุรกิจของคุณไปอย่างช้าๆ ครับ:
- เผาผลาญงบการตลาดทิ้ง: คุณกำลังเทเงินลงไปใน "ถังที่รั่ว" การทุ่มงบโฆษณาเพื่อดึงคนเข้ามาในเว็บไซต์ที่ไม่มีประสิทธิภาพในการปิดการขาย คือการสูญเสียเงินทุนโดยเปล่าประโยชน์
- ธุรกิจหยุดนิ่งและโดนแซง: ในขณะที่คุณยัง "ย่ำอยู่กับที่" เพราะไม่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้ คู่แข่งของคุณที่ใช้ข้อมูลและ A/B Testing กำลังพัฒนาเว็บไซต์ของพวกเขาให้ดีขึ้นทุกวัน และค่อยๆ แย่งส่วนแบ่งตลาดของคุณไป
- สูญเสียความเชื่อมั่นของทีม: เมื่อการทำงานหนักเพื่อปรับปรุงเว็บไม่เคยเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ทีมงานก็จะเริ่มหมดไฟและขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจ
- กำไรที่หายไปในอากาศ: ทุกๆ การคลิกที่ไม่นำไปสู่การซื้อ คือ "รายได้ที่หายไป" การปล่อยให้ Conversion Rate ต่ำต่อไปเรื่อยๆ คือการยอมทิ้งกำไรที่ควรจะเป็นของคุณไปในทุกๆ วัน
การปรับปรุง UX/UI บนแพลตฟอร์มอย่าง Webflow หรือการทำ Conversion Rate Optimization บน Shopify ล้วนต้องการข้อมูลจากการทดลองเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพถนน 2 เลน เลนหนึ่งเป็นรถของ "ธุรกิจคุณ" ที่จอดนิ่งสนิทและมีใยแมงมุมเกาะ ส่วนอีกเลนเป็นรถของ "คู่แข่ง" ที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน: รู้จักกับ "A/B Testing"
ทางออกจากวงจรการเดาสุ่มนี้คือการนำ "กระบวนการทางวิทยาศาสตร์" เข้ามาใช้กับการตลาด ซึ่งก็คือ "A/B Testing" นั่นเองครับ
A/B Testing คืออะไร? พูดให้ง่ายที่สุด มันคือการ "เปรียบเทียบ" ครับ เราสร้างองค์ประกอบบนหน้าเว็บขึ้นมา 2 เวอร์ชัน (หรือมากกว่า) เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนทำงานได้ดีกว่ากัน เช่น:
- เวอร์ชัน A (Control): คือหน้าเว็บแบบดั้งเดิมที่เราใช้อยู่
- เวอร์ชัน B (Variant): คือหน้าเว็บที่เรา "เปลี่ยนแปลง" องค์ประกอบบางอย่างไปเพียง "หนึ่งอย่าง" เช่น เปลี่ยนสีปุ่ม, เปลี่ยนข้อความบนปุ่ม
จากนั้น เราจะใช้เครื่องมือเพื่อ "แบ่ง" ผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกเป็น 2 กลุ่มแบบสุ่ม กลุ่มหนึ่งจะเห็นเวอร์ชัน A อีกกลุ่มจะเห็นเวอร์ชัน B แล้วเราก็วัดผลว่าเวอร์ชันไหนสามารถทำให้คน "คลิก" หรือ "ซื้อ" ได้มากกว่ากัน ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่ "ความคิดเห็น" อีกต่อไป แต่เป็น "ข้อมูลเชิงประจักษ์" ที่บอกเราว่าลูกค้าชอบอะไรมากกว่ากัน
แล้วควรเริ่มจากตรงไหน?
- ตั้งสมมติฐานที่ชัดเจน: เริ่มจาก "ความเชื่อ" ที่คุณอยากจะพิสูจน์ เช่น "ฉันเชื่อว่าการเปลี่ยนสีปุ่ม 'ซื้อเลย' จากสีเทาเป็นสีเขียว จะช่วยเพิ่มยอดคลิกได้ เพราะสีเขียวโดดเด่นและสื่อถึงการไปต่อได้"
- เลือกหน้าที่มีผลกระทบสูง: เริ่มทดลองกับหน้าที่มีคนเข้าเยอะและสำคัญที่สุดก่อน เช่น หน้าแรก (Homepage), หน้าสินค้า (Product Page), หรือหน้าตะกร้าสินค้า (Cart Page)
- ทดสอบทีละหนึ่งตัวแปร: อย่าเปลี่ยนหลายอย่างพร้อมกันในเวอร์ชัน B เพราะถ้ามันดีขึ้นมา คุณจะไม่รู้ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้มันดีขึ้นจริงๆ
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่าง Harvard Business Review และ VWO ได้อธิบายหลักการเหล่านี้ไว้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการทำ CRO (Conversion Rate Optimization)
Prompt สำหรับภาพประกอบ: อินโฟกราฟิกที่เข้าใจง่าย แสดงกระบวนการ A/B Testing: 1. หน้าเว็บ A (ปุ่มสีฟ้า) 2. หน้าเว็บ B (ปุ่มสีเขียว) 3. ระบบแบ่งทราฟฟิก 50/50 4. ผลลัพธ์แสดงว่าหน้า B มี Conversion Rate สูงกว่า
ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ: เคสร้านกระเป๋าหนังที่ยอดขายเพิ่ม 12% จากการเปลี่ยน "ปุ่ม"
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูเคสของร้าน E-Commerce ที่ขายกระเป๋าหนังแฮนด์เมดครับ
- ปัญหา: ร้านนี้มีคนเข้าหน้าสินค้าเยอะมาก แต่มีคนกดปุ่ม "ซื้อทันที" เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนจ่ายเงินน้อยมาก (Add-to-Cart Rate ต่ำ)
- สมมติฐาน: ทีมงานเชื่อว่าปุ่ม "ซื้อทันที" (Buy Now) ที่เป็นสีดำ อาจจะดูกดดันและจริงจังเกินไปสำหรับลูกค้าที่ยังลังเลอยู่ พวกเขาคิดว่าการเปลี่ยนเป็นปุ่ม "เพิ่มลงตะกร้า" (Add to Cart) ที่เป็นมิตรและมีความกดดันน้อยกว่า น่าจะทำให้คนกล้าคลิกมากขึ้น
- การทดลอง A/B Test:
- เวอร์ชัน A (Control): ปุ่มสีดำพร้อมข้อความ "ซื้อทันที"
- เวอร์ชัน B (Variant): ปุ่มสีเขียวสดใสพร้อมข้อความ "เพิ่มลงตะกร้า"
- ผลลัพธ์: หลังจากรันการทดสอบเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า **เวอร์ชัน B (ปุ่มสีเขียว 'เพิ่มลงตะกร้า') มีอัตราการคลิกสูงกว่าเวอร์ชัน A ถึง 25%!** และเมื่อตามดูผลลัพธ์ไปจนถึงการจ่ายเงินจริง พบว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้ส่งผลให้ **ยอดขายโดยรวมของร้านเพิ่มขึ้นถึง 12%** โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาเพิ่มแม้แต่บาทเดียว!
นี่คือพลังของการทดลองที่เปลี่ยนจาก "การเดา" มาเป็น "การลงมือทำที่มีข้อมูล" ครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบหน้าสินค้า Before & After ของร้านกระเป๋าหนัง ด้าน Before มีปุ่ม "ซื้อทันที" สีดำ และด้าน After มีปุ่ม "เพิ่มลงตะกร้า" สีเขียวสดใส พร้อมตัวเลข Conversion Rate ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที): 5 ไอเดียง่ายๆ สำหรับ A/B Test ครั้งแรกของคุณ
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณคงอยากจะเริ่มทดลองกับเว็บของตัวเองแล้วใช่ไหมครับ? ไม่ต้องรอช้า! นี่คือ 5 ไอเดียการทดลอง A/B Test ง่ายๆ แต่ทรงพลัง ที่คุณสามารถนำไปทำได้ทันที:
- ทดสอบ "หัวข้อหลัก" (Headline): ลองเปลี่ยน Headline บนหน้าสินค้าของคุณ จากที่เน้นบอก "ฟีเจอร์" (เช่น "กระเป๋าหนังวัวแท้ 100%") ไปเป็นเน้น "ประโยชน์" (เช่น "กระเป๋าคู่ใจสำหรับทุกการเดินทาง ที่ยิ่งใช้ยิ่งสวย")
- ทดสอบ "ข้อความบนปุ่ม CTA": เปรียบเทียบระหว่างคำที่แตกต่างกัน เช่น "สั่งซื้อเลย" vs "ดูรายละเอียดสินค้า" vs "ช้อปคอลเลคชั่นนี้"
- ทดสอบ "สีของปุ่ม CTA": ลองใช้สีที่ "ตัด" กับสีพื้นหลังของเว็บไซต์อย่างชัดเจน (เช่น พื้นหลังขาว ปุ่มสีส้มสด) เทียบกับสีเดิมที่คุณใช้อยู่
- ทดสอบ "รูปภาพหลักของสินค้า": เปรียบเทียบระหว่างรูปสินค้าบนพื้นขาว (Product Shot) กับรูปสินค้าที่มีนางแบบ/นายแบบใช้งานในชีวิตจริง (Lifestyle Shot)
- ทดสอบ "การใส่ Trust Badges": ลองเพิ่มสัญลักษณ์ที่สร้างความน่าเชื่อถือเข้าไปใกล้ๆ ปุ่มซื้อ เช่น ไอคอน "ส่งฟรีทั่วประเทศ", "รับประกันความพอใจ", หรือ "จ่ายเงินปลอดภัย 100%" เทียบกับแบบที่ไม่มี
การเลือกไอเดียเหล่านี้ไปทดลอง คือก้าวแรกที่สำคัญในการเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณให้กลายเป็น เครื่องมือสร้างการเติบโต อย่างแท้จริง หากต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ บริการ E-commerce Optimization Audit สามารถช่วยชี้จุดที่คุณควรเริ่มทดลองได้ครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ที่มีไอคอนประกอบ 5 ไอเดียการทดลอง A/B Test (ไอคอนรูปตัวอักษร T, ไอคอนปุ่ม, ไอคอนถังสี, ไอคอนกล้องถ่ายรูป, ไอคอนโล่)
คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์
เพื่อให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ ผมได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ A/B Testing มาตอบให้หายสงสัยกันตรงนี้เลยครับ
Q1: เว็บไซต์ของฉันมีคนเข้าไม่เยอะ จะทำ A/B Testing ได้ไหม?
A: ทำได้ครับ แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการรันเทสต์นานขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือทางสถิติ (Statistical Significance) หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือ คุณต้องเลือกทดสอบการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะสร้างผลกระทบได้ "แรง" และ "ชัดเจน" จริงๆ เช่น การเปลี่ยน Layout ทั้งหน้า แทนที่จะเป็นแค่การเปลี่ยนสีปุ่มครับ
Q2: การทำ A/B Testing ส่งผลเสียต่อ SEO หรือไม่?
A: ไม่ส่งผลเสียครับ ตราบใดที่คุณทำตามหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง Google เข้าใจและสนับสนุนให้เจ้าของเว็บทำการทดลองเพื่อพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) สิ่งสำคัญคือต้องไม่ใช้เทคนิคที่เรียกว่า "Cloaking" หรือการจงใจแสดงเนื้อหาให้ Googlebot เห็นอย่างหนึ่ง แต่ให้ผู้ใช้เห็นอีกอย่างหนึ่ง
Q3: ควรจะรันเทสต์นานแค่ไหน?
A: ไม่มีคำตอบที่ตายตัวครับ แต่หลักการคือ "รันจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือทางสถิติ" (ส่วนใหญ่มักจะตั้งค่าไว้ที่ 95% Confidence Level) และควรรันเทสต์ให้ครอบคลุมพฤติกรรมของผู้ใช้ใน 1 สัปดาห์เต็ม (อย่างน้อย 7-14 วัน) เพื่อหลีกเลี่ยงความคลาดเคลื่อนจากพฤติกรรมที่แตกต่างกันในแต่ละวันครับ อย่ารีบด่วนสรุปผลหลังจากผ่านไปแค่ 1-2 วันนะครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ไอคอนรูปคนกำลังเกาหัวคิด และมีเครื่องหมายคำถาม (?) จากนั้นเปลี่ยนเป็นไอคอนหลอดไฟสว่างวาบ พร้อมเครื่องหมายถูก (✓) เพื่อสื่อถึงการได้รับคำตอบที่ชัดเจน
สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ
การทำ A/B Testing คือการเปลี่ยนจากการ "ทำงานตามความรู้สึก" มาสู่ "การทำงานด้วยข้อมูล" มันคือสะพานที่เชื่อมระหว่าง "สิ่งที่เราคิดว่าลูกค้าต้องการ" ไปสู่ "สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ" การหยุดเดาและเริ่มทดลอง คือก้าวที่สำคัญที่สุดที่จะปลดล็อกศักยภาพการเติบโตของร้านค้า E-Commerce ของคุณ
อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นครับ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณทดลองในวันนี้ อาจกลายเป็น "จุดเปลี่ยน" ที่สร้างยอดขายมหาศาลให้กับธุรกิจของคุณในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ลองเลือกไอเดียง่ายๆ ที่เราให้ไว้ในบทความนี้ไปเริ่มทำ A/B Test ครั้งแรกของคุณดูสิครับ แล้วคุณจะค้นพบว่าการมองเห็นยอดขายเติบโตขึ้นจากข้อมูลในมือของคุณเอง มันน่าตื่นเต้นแค่ไหน!
พร้อมที่จะเปลี่ยนการเดาให้เป็นยอดขายแล้วหรือยัง? หากคุณต้องการพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยคุณวางแผนและดำเนินการทดลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บอย่างเต็มรูปแบบ บริการ Conversion Rate Optimization ของเรา พร้อมที่จะช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอนครับ! เริ่มต้นสร้างการเติบโตที่วัดผลได้ตั้งแต่วันนี้!
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพนักธุรกิจหรือเจ้าของร้าน E-Commerce กำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พร้อมชี้ไปที่กราฟ Conversion Rate ที่กำลังพุ่งสูงขึ้นบนหน้าจอแล็ปท็อป บรรยากาศดูทันสมัยและเต็มไปด้วยพลังบวก
Recent Blog

อธิบายความหมายของ Zero-Party Data (ข้อมูลที่ลูกค้าเต็มใจให้) และวิธีเก็บข้อมูลผ่าน Quiz, Survey เพื่อใช้ทำการตลาดที่แม่นยำขึ้น

วิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียของการมี Dark Mode บนเว็บไซต์ ทั้งในแง่การใช้งาน, สุขภาพสายตา, และผลกระทบต่อ Conversion Rate ที่อาจเกิดขึ้น

แนะนำเทคนิคการทำ Personalization สำหรับร้านค้าออนไลน์ เช่น การแนะนำสินค้าที่ตรงใจ, โปรโมชั่นส่วนตัว เพื่อเพิ่ม AOV และ LTV